ความหมายของอิสลาม


อิสลามคือสันติ

ความหมายของคำว่า "อิสลาม"

          อิสลามในด้านภาษานั้น คือ การสยบ การน้อมนำ  จะมีการกล่าวว่า ผู้นั้นเป็นผู้ที่ปลอดภัย คือ คนนั้นได้เชื่อฟัง ปฏิบัติตาม ดังที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า

"แล้ว ด้วยอื่นจากศาสนาของอัลลอฮ์ กระนั้นหรือ ที่พวกเขาต้องการ และผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าต่างๆและแผ่นดิน ยอมสยบแด่พระองค์ ด้วยความสมัครใจ และไม่สมัครใจ และยังพระองค์พวกเขาจะต้องกลับไป" (อาละอิมรอน / 83)

        คำว่า อิสลาม เมื่อพูดออกมาจะหมายถึง กลุ่มหลักธรรรม คำสอนต่างๆ ที่อัลลอฮ์ ทรงดลใจมายังท่านนะบีมุฮัมมัด ผู้นำของมนุษย์ชาติ เพื่อเรียกร้องไปสู่การให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ การน้อมนำต่อข้อชี้ขาดของพระองค์ การสยบแด่หลักการ ที่บรรดานะบีได้นำมาก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงตรัสว่า

"พระองค์ ได้ทรงวางให้แก่พวกเจ้า จากศาสนา ซึ่งสิ่งที่พระองค์ ได้ทรงสั่งใช้แก่นูห์ และสิ่งที่เราดลใจมายังพวกเจ้า และสิ่งที่เราได้สั่งใช้แก่อิบรอฮีม มูซา และอีซา คือ ให้พวกเจ้าได้ดำรงไว้ซึ่งศาสนา และอย่าได้แตกแยกกันในศาสนา" (อัชชูรอ / 13 )

          หลังจากนั้น คำว่า มุสลิม ได้นำมาเรียกขาน แก่ผู้ที่ดำเนินตามหลักธรรม คำสอน ของอิสลาม จะมีการกล่าวว่า นูห์เป็นมุสลิม อิบรอฮีมเป็นมุสลิม มูซาเป็นมุสลิม และอีซาเป็นมุสลิม เช่นเดียวกัน ผู้ที่ดำเนินตามพวกเขา และน้อมนำต่อหลักธรรม คำสอนต่างๆที่บรรดานะบีเหล่านั้นได้นำมา พวกเขาจะถูกเรียกด้วยชื่อนี้ เช่นกัน

         เมื่อผู้นำของเรา มุฮัมมัด  ซึ่งเป็นนะบีท่านสุดท้าย ที่ได้นำเอาหลักธรรมคำสอนต่างๆ มาเผยแพร่ และเรียกร้องไปสู่ ท่านได้รับการเรียกชื่อว่า มุสลิม และบรรดาผู้ที่เดินตามท่านจะได้รับการเรียกชื่อว่า มุสลิม และศาสนาที่ท่านได้เรียกร้องไปสู่ ได้รับการเรียกชื่อว่า อิสลาม และการเรียกชื่อนี้ มิได้เกิดมาจากการประดิษฐ์ของคนหนึ่งคนใด แต่ทว่า ชื่อนี้ได้รับการเรียกขานมาจาก พระองค์ อัลลอฮ์

"วันนี้ ข้าได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้า สมบูรณ์แก่พวกเจ้า และได้ทำให้ความเมตตาของข้าครบถ้วนแก่พวกเจ้า และได้พอใจให้อิสลามเป็นศาสนาของพวกเจ้า " (อัลมาอิดะฮ์ / 3)

"แท้จริง ศาสนา ณ อัลลอฮ์ คือ อิสลาม" (อาละอิมรอน / 19)

          ทุก สิ่งที่ค้านกับแนวทางนี้ ก็ไม่ถือว่า เป็นศาสนาของอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์จะไม่ทรงรับการงานหนึ่ง การงานใด ที่ไม่สอดคล้องกับศาสนาของพระองค์

อัลลอฮ์ ทรงตรัสความว่า

"และผู้ใด ปราถนาศาสนาใดอื่น จากอิสลาม  เขาจะไม่ถูกรับ และในโลกหน้า เขาจะเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ขาดทุน" (อาละอิมรอน / 85)

          ใครที่แสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใด นอกจากอิสลาม ที่เป็นศาสนาของบรรดานะบีทั้งหมด ก็จะไม่มีการรับจากเขา และด้วยเหตุนี้ ในโลกหน้าเขาจึงเป็นผู้ที่ขาดทุน ในทุกความดี

          อายะฮ์ที่กล่าว รวมถึงมนุษย์ทั้งหมด ดังนั้น คนหนึ่งคนใดที่ยอมรับในอิสลาม ไม่เชื่อในอิสลาม ข้อชี้ขาดของอายะฮ์นี้ จะมีผลต่อเขา และในโลกหน้าเขาก็เป็นผู้ที่ขาดทุน เนื่องจากการที่เขาไม่นำพาต่ออิสลาม เขาจึงเป็นผู้ออกนอกแนวทาง ของบรรดานะบี บรรดาเราะซูลทุกท่าน

         อิสลาม มาเพื่อที่จะนำเอาความผ่องใส กลับคืนสู่หลักธรรม คำสอน และทำให้ศาสนาบริสุทธิ์ ผุดผ่องจากสิ่งที่ติดพันอยู่ จากสิ่งที่เป็นเศษเดน และสิ่งที่มีการบิดเบือน

ซึ่งเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ และการเรียกร้องไปสู่การสมานสามัคคีของประชาชน ความใกล้ชิดของประชาชาติต่างๆ การทำให้โลกมีเอกภาพ การเรียกร้องผู้คนทั้งหลายไปสู่แนวทางเดียวกัน ในหลักการเชื่อมั่น และความประพฤติ เพื่อให้พวกเขามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขสันติ ความรัก เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือกัน จุนเจือกัน เพื่อที่จะให้สังคมมนุษย์ได้ไปสู่ระดับที่สูงส่ง

คำสำคัญ (Tags): #อัลลอฮ์(ซ.บ)
หมายเลขบันทึก: 473989เขียนเมื่อ 8 มกราคม 2012 14:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 19:06 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน..อามีน

ขอน้อมนำความสุขสู่มวลมนุษย์ทุกท่านครับ

สันติ คือทางแก้ไข ทุกปัญหา เหตุจากการแย่งมวลชน

ทำไมชาวใต้ถึงฟังกลุ่ม บีอาร์เอ็น มากกว่า รัฐ (จากการ สรุปโดย พล.อ เอกชัย ศรีวิลาศ ผอ. สถาบันสันติวิธี)) เพราะ กลุ่ม บีอาร์เอ็น สามารถแสดงออกอย่างเปิดเผยว่า พวกเขากตัญญูสูงสุดได้. เพราะเขากตัญญูต่อเจ้าเมืองธรรมชาติ ที่ให้ออกซิเจนพระพุทธเจ้า หายใจ มันคือการใฝ่หาของมนุษย์โดยพื้นฐานว่า เขาจะฟังผู้กตัญญู และ จะต่อต้านผู้มีจิต เนรคุณ นั่นเอง. จงกตัญญูให้เท่าเทียมผู้ที่ท่าน จะเข้าพัฒนาเขา

ลองปรับกันซักนิด จะครองใจชาวบ้านได้ง่ายขึ้น. ด้วยการมีพระเจ้าเป็นสิ่งกตัญญู แทนการมีเป็นสิ่งปฏิเสธ ถึง เนรคุณ

ลองก่อน อย่าเพิ่งรีบเชื่อ หากใครอายุมากๆ้ว และ เคยมีพระเจ้าเป็นสิ่งปฏิเสธ(หรืออาจเรียกแรงๆว่าเนรคุณ) ขอให้ลองก่อนสักสองปี ก็ยังดี. คือมีพระเจ้าเป็นสิ่งกตัญญูแทนการมีเป็นสิ่งปฏิเสธ ปิดกั้นเนรคุณนั่นเอง. ลองเปืดกว้างไม่ปิดกั้น ลองอยู่กับปัจจุบัน ลองหลุดพ้นจากปิติทางตำรา ทางการบังคับ ทางกุสโลบายก่อนเถิด ลองมีองค์ธรรมแบบพึ่งพาตนเอง ไม่พึ่งพาบุญบารมี นักบวชก่อนเถิด. ลองก่อนอย่าเชื่อ ลองมองที่หลักฐาน และพยาน ทั้งอดีต และ ปัจจุบันเถิดว่า ผู้กตัญญูนั้น มีเท่าไร เป็นกี่เท่าของผู้ที่ปิดกั้น ปฏิเสธ หรือ อาจจะเนรคุณ ปัจจุบันให้จริง อย่าพูดลอยๆต่อไปเลย.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท