คืนวันที่ 1 ย่างเข้าวันที่ 2 มกราคม ฝนตกหนักมาก ครูเขียวนอนไม่หลับเพราะความกังวล ไก่ที่เลี้ยงไว้ตกร้านมายืนอยู่ใต้หลังคาบ้านอย่างน่าสงสาร นกดุเหว่าร้องกลางดึกล้วนแล้วแต่เป็นคำเตือนของธรรมชาติ (หากใครติดตามแม่เฒ่าเคยเล่าให้ฟังเมื่อน้ำท่วมนครครั้งที่แล้วคงจำได้ ครูเขียวเชื่อภูมิปัญญาของคนในสมัยแม่เฒ่าในการสังเกตธรรมชาติ ) ตีห้าครึ่งครูเขียวออกจากบ้านทางด้านหลังพบว่าน้ำเขาขึ้นมาถึงริมฟุตบาท ซึ่งตั้งแต่เกิดมาจน 47 ปี ยังไม่เคยพบเห็น ย้อนคิดกลับไปที่ครูเขียวเคยเขียนไว้ว่าใกล้ๆบ้านครูเขียวมีคนถมลำห้วยโดยที่ไม่มีใครออกมาคัดค้าน ลำห้วยนั้นคือแก้มลิงในการรับน้ำก่อนจะค่อยทยอยถ่ายไปด้านล่างแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ครูเขียวคาดได้ทันทีว่าน้ำจะต้องท่วมวัดและโรงเรียน เมื่อปลุกลูกๆให้รู้ จึงเดินเท้าไปตามถนนเพื่อหาซื้อข้าวต้มให้แม่ที่ป่วยก่อนกินยาตามหมอสั่ง เดินตัดเข้าไปในวัดไม่มีน้ำ ชั่วครูเขียวซื้อข้าวต้ม 3 ถุง ไม่เสร็จน้ำทะลักเข้ามาในวัดจนครูเขียวไม่สามารถเดินตัดกลับบ้านได้ ครูเขียวจึงเดินอีกทางกลับบ้านกลางทางมีน้ำท่วมเป็นระยะๆ เมื่อกลับมาถึงบ้านพบว่าเนื้อสวนยางพารา มังคุดประมาณ 19 ไร่ จนอยู่ใต้น้ำเห็นแต่ยอดไหวๆ เมื่อเตรียมลูกและแม่ให้รู้ตัวครูเขียวย้อนกลับไปโรงเรียนเก็บของต่างๆในชั้นเรียนของตนเองที่มีกุญแจสามารถเข้าได้ไว้ที่สูง จัดเตรียมห้องให้สะอาดเพื่อให้ชาวบ้านที่ลำบากเข้ามาอยู่ระยะเวลาไม่ถึง 30 นาทีน้ำเข้าสนามโรงเรียนซึ่งพื้นที่นี้ถือว่าเป็นพื้นที่สูงสุดในชุมชนทุกครั้งที่น้ำท่วมชาวบ้านหวังพึ่งอพยพมาอยู่แต่ในครั้งนี้ครูเขียวไม่มั่นใจจึงต้องให้นักการมาเปิดกุญแจอาคาร 2 ชั้นให้อยู่ แล้วในวันนี้ครูเขียวและครอบครัว โรงเรียนรอดจากน้ำ ( ย้ำว่าวันนี้ ) แต่สิ่งที่ครูเขียวได้มีส่วนร่วมในการสนทนากับชาวบ้านพบว่า ชาวบ้านนึกถึงแนวพระราชดำริขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ แก้มลิง เชื่อว่าชุมชนเราถ่วมมากอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนเพราะแก้มลิงถูกถม ถูกรุกราน ครูเขียวได้มีส่วนในการเน้นย้ำให้หลายคนเข้าใจว่าขณะนี้ถ้าจะป้องกันไม่ให้เกิดรุนแรงเท่าครั้งนี้ในครั้งต่อไปทุกคนในชุมชนต้องคิดร่วมกัน เสียสละร่วมกัน ตามพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากประเทศชาติไม่รอดเราก็ไม่รอด
ประชาชนชาวไทยจะรอดพ้นหากน้อมนำแนวพระราชดำริ และพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปฏิบัติ
ไม่มีความเห็น