การวิเคราะห์การทดสอบการพัฒนาบทเรียนโปรแกรม
บทเรียนโปรแกรมที่สร้างขึ้นนั้น ถึงแม้ว่าจะตั้งวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมเพื่อให้สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนรู้ในผู้เรียนแล้วก็ตาม ด้วยตัวของบทเรียนเองเราไม่สามารถทราบถึงระดับผลสัมฤทธิ์หรือการบรรลุวัตถุประสงค์ได้เลย เพราะจากสภาพการเรียน การประกอบกิจกรรม และการย้อนกลับไปอ่านและประกอบกิจกรรมใหม่ตามแบบบทเรียนโปรแกรมชนิดเส้นตรงนั้น ดูคล้ายกับว่าผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่โดยความเป็นจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ การที่ทราบได้ว่าบทเรียนโปรแกรมบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ จำเป็นต้องสร้างเครื่องมือเพื่อการทดสอบและดำเนินการวิเคราะห์ตามแบบกรรมวิธีของการวิเคราะห์บทเรียนโปรแกรม แล้วนำเอาผลวิเคราะห์มากำหนดเป็นเกณฑ์มาตรฐาน โดยปกติการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานเพื่อเป็นเครื่องมือตัดสินว่าผู้เรียนมีสัมฤทธิผลทางการเรียน และบทเรียนโปรแกรมที่สร้างขึ้นบรรลุวัตถุประสงค์ คือ เกณฑ์มาตรฐาน 90/90 (90/90 Standard)
เกณฑ์มาตรฐาน 90/90 ที่กำหนดกันขึ้นมานั้น มีความหมายแตกต่างกันไปตามความเข้าใจของผู้เขียนหรือผู้สร้างบทเรียนโปรแกรมแต่ละคน โดยปกติผู้สร้างบทเรียนโปรแกรมจะมีเกณฑ์การวัดของตนเอง และกำหนดเอาเองว่าถ้าบทเรียนโปรแกรมที่เราสร้างขึ้นได้ตามเกณฑ์ในระดับที่ผู้สร้างพอใจ ผู้สร้างจะเลิกสนใจที่จะทำการทดลองเพื่อปรับปรุงและเปลี่ยนเกณฑ์ แต่จะลงมือพิมพ์บทเรียนโปรแกรมเพื่อใช้เป็นสื่อการสอนต่อไป
จากเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 ที่ผู้สร้างส่วนใหญ่กำหนดเป็นบรรทัดฐานที่จะชี้ว่าบรรลุผลสำเร็จนั้น ได้กำหนดแนวทางการแปลความหมายเพื่อสร้างความเข้าใจ ดังนี้ คือ
90 ตัวแรก มีความหมายถึง จำนวนร้อยละของจำนวนเฟรมทั้งหมดที่ผู้เรียนสามารถตอบได้ถูกต้อง หรือผู้เรียนแต่ละคนสามารถตอบได้ถูก 90 เฟรมใน 100 เฟรม
90 ตัวที่สอง มีความหมายถึง จำนวนร้อยละของจำนวนผู้เรียนที่ตอบถูกในแต่ละเฟรมหรือในแต่ละเฟรมจะต้องมีผู้ตอบถูก 90 คนใน 100 คน
หลักเกณฑ์การพิจารณาเกณฑ์มาตรฐานบทเรียนโปรแกรมอีกวิธีการหนึ่ง คือ เกณฑ์มาตรฐาน 90/90 ที่มีความหมายแตกต่างไปจากวิธีแรก วิธีนี้ไม่คิดจากจำนวนเฟรมแต่คิดจากแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเพื่อวัดและประเมินผลตามวัตถุประสงค์ ดังนั้นเกณฑ์มาตรฐานในลักษณะนี้จึงมีความหมาย ดังนี้
90 ตัวแรก หมายถึง จำนวนร้อยละของผู้ทำแบบประเมินผลที่ทำได้ถูกต้องเกิน 90 ข้อใน 100 ข้อ
90 ตัวหลัง หมายถึง จำนวนร้อยละของจำนวนผู้ทำแบบประเมินที่ทำถูกในแต่ละข้อของแบบประเมิน หรือในแต่ละข้อที่วัดผลนั้นจะต้องมีผู้ตอบถูกอย่างน้อย 90 คนใน 100 คน
เนื่องจากวิธีแรกดังที่กล่าวมาแล้วมีปัญหาที่ทำให้ผู้สร้างบทเรียนโปรแกรมนำมาคิดและหาวิธีการอธิบายให้ชัดเจนไม่ได้ประการหนึ่งก็คือ จำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ที่ขาดไป ยอมให้ขาดไปโดยไม่สนใจได้หรือไม่ โดยผู้สร้างยกปัญหาขึ้นมาเป็นตัวอย่างถ้าวัตถุประสงค์ข้อหนึ่ง 10 ข้อ ผู้ทดสอบและผู้เรียนกับบทเรียนโปรแกรมไม่บรรลุวัตถุประสงค์ข้อนี้เลย เราจะถือว่าบทเรียนโปรแกรมนี้เข้าเกณฑ์มาตรฐานตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ โดยเหตุและผลแล้ววัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนนั้นจำเป็นต้องสัมฤทธิ์ผลทุกข้อ จากปัญหาดังที่ได้กล่าวมาแล้วนักสร้างบทเรียนโปรแกรมจึงคิดหาวิธีการที่จะอธิบายเรื่องเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 ไว้อีกวิธีการหนึ่งดังนี้
สมมุติว่านักเรียนทั้งชั้นทำคะแนนทดสอบก่อนเรียนได้คะแนนเฉลี่ยคิดเป็น 30 คะแนนและได้คะแนนทดสอบหลังเรียนเฉลี่ยคิดเป็น 85 คะแนน จำนวนคะแนนเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นคิดเทียบเป็นร้อยละก็อาจจะคิดได้ดังนี้
คะแนนที่เพิ่มขึ้น 60 คะแนน คิดเป็น 100 %
(90-30 คิดจากเกณฑ์มาตรฐาน 90)
คะแนนที่เพิ่มขึ้น 55 คะแนน คิดเป็น
(85-30 ผลต่างของการทดสอบ) = 91.6 %
ถ้าใช้วิธีการคิดอย่างนี้จะเห็นได้ว่า เกณฑ์มาตรฐานกำหนดก็น่าจะใช้ได้และเป็นวิธีการอธิบายที่มีเหตุและผลพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามวิธีการคิดผลสัมฤทธิ์ตามเกณฑ์มาตรฐานดังที่กล่าวมาแล้วนี้ จะมีปัญหาถ้าหากว่าผู้เรียนสามารถทำคะแนนทดสอบก่อนเรียนได้สูง เช่น ทำคะแนนก่อนเรียนได้ 50 % จะต้องทำคะแนนทดสอบหลังเรียนได้ 90 % จึงจะผ่านเกณฑ์มาตรฐานและปัญหาที่เกิดจากการทดสอบก่อนเรียน ถ้าผู้เรียนได้คะแนนทดสอบก่อนเรียนต่ำ เช่น ได้ 20% คะแนนผู้เรียนต้องทำหลังเรียนได้เพียง 82% ก็ถือว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ในกรณีเช่นนี้จึงมีคำถามที่ฝากให้นักสร้างบทเรียนโปรแกรมคิดว่าช่วงของคะแนนที่จะนำมาคิดเทียบหรือกล่าวอีกในหนึ่งก็คือ พัฒนาการหลังเรียนกับบทเรียนโปรแกรมจะใช้ช่วงคะแนนประมาณเท่าไรจึงจะเหมาะสมและถือว่าบทเรียนโปรแกรมได้มาตรฐาน 90/90
แนวทางการพิจารณาในการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานตามที่กล่าวมาแล้ว ความคิดเห็นในแต่ละฝ่ายต่างก็มีเหตุมีผลของตนเอง และไม่มีการพิจารณาการตัดสินชี้ขาดว่าอย่างไหนดีกว่าและดีที่สุด เป็นเรื่องที่อภิปรายกันไม่รู้จบสิ้น ฉะนั้นเกณฑ์มาตรฐานดังกล่าวจึงขึ้นอยู่กับผู้สร้างเป็นสำคัญ
เอกสารอ้างอิง
วิเชียร ชิวพิมาย. บทเรียนแบบโปรแกรม. ขอนแก่น : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2544.
ไม่มีความเห็น