จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill ค.ศ. ๑๘๐๖-๑๘๗๓) เป็นบุตรของ เจมส์ มิลล์ นักเศรษฐศาสตร์รุ่นหลัง ๆ บางคนยกย่องให้เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำเกือบเท่า ๆ กับอดัม สมิท มัลทัส และริคาร์โด ผลงานที่สำคัญของมิลล์คือหนังสือชื่อ Principles of Political Economy with some of their Applications to Social Philosophy ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. ๑๘๔๘ เขาได้ให้ทัศนะไว้ว่า สิ่งหนึ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ก่อนหน้าสมัยสำนักคลาสสิคได้กระทำผิดพลาดไปก็คือ การให้ความสำคัญแก่การบริโภค และเพื่อที่จะลบล้างความคิดที่ผิด ๆ เช่นนี้ นักเศรษฐศาสตร์การเมืองในสมัยของเขาจึงมีความเห็นว่า การบริโภคเป็นสิ่งที่ไม่สมควรได้รับการสนับสนุนเพราะว่า การบริโภคย่อมจะเกิดขึ้นเองเป็นปริมาณที่เท่ากับการผลิตที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ประเทศควรให้ความสำคัญในการที่จะทำให้ประเทศเจริญมั่งคั่งก็คือการผลิตไม่ใช่การบริโภค และด้วยเหตุนี้เขาจึงเน้นความสำคัญในการที่จะก่อให้เกิดแรงจูงใจต่อปัจจัยการผลิตซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อการผลิต ในทัศนะเกี่ยวกับบทบาทของภาครัฐและภาษี มิลล์มีความเห็นคล้ายคลึงกับริคาร์โด แนวคิดที่สำคัญของมิลล์ในด้านต่าง ๆ ได้แก่
การผลิต
สำหรับการผลิตต้องอาศัยปัจจัยการผลิตที่สำคัญสองอย่าง คือ แรงงานและที่ดิน แรงงานซึ่งใช้ในการผลิตนั้นแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ
๑.แรงงานที่มีประสิทธิภาพ คือ แรงงานซึ่งมีคุณสมบัติในการสร้างความมั่งคั่ง เช่น แรงงานที่ใช้ในการผลิตวัตถุดิบที่จะนำไปใช้ในการผลิตอีกต่อหนึ่ง ตัวอย่างเช่น กรรมกรที่ขุดถ่านหิน เกษตรกรที่ปลูกฝ้าย แรงงานซึ่งใช้ผลิตเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตสินค้า แรงงานที่ใช้ในการสร้างวัตถุหรือวัสดุต่างๆ แรงงานที่ใช้สร้างโรงงาน นอกจากนั้นแรงงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ เพิ่มพูนความรู้ความสามารถ และแรงงานที่ใช้ในการปกป้องชีวิต ทรัพย์สิน เช่น ครู ทนายความ นายแพทย์ ย่อมถือได้ว่าเป็นแรงงานที่มีประสิทธิภาพด้วย
๒. แรงงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ คือ แรงงานที่มีประโยชน์แต่ไม่ได้ผลิตความมั่งคั่ง ซึ่งหมายถึงแรงงานที่ผลิตบริการ
ในเรื่องการผลิตภาคเกษตรนั้นมักเกิดกฎการลดน้อยถอยลงของผลได้ต่อการใช้ แรงงาน เมื่อมีการขยายการผลิตออกไปยังที่ดินที่มีคุณภาพต่ำลงจะทำให้ได้ผลผลิตที่ไม่มีคุณภาพ มิลล์เห็นว่าควรแก้ไขโดยสร้างความเจริญก้าวหน้าทางเทคนิค ความรู้ ความชำนาญ การประดิษฐ์ คิดค้นในการผลิตทางเกษตรด้วยการปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อให้ใช้ที่ดินได้ตลอดปี การคมนาคมขนส่งที่ดี ตลอดจนการแก้ไขล้มเลิกนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับภาษีที่ดิน ภาษีสินค้าเข้าออก เช่น กฎหมายข้าว ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรสูงขึ้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหาการลดน้อยถอยลงของผลได้
นอกจากนั้นตามความคิดของมิลล์เกี่ยวกับการพัฒนาประเทศที่ได้กล่าวถึงภาวะ ชะงักงันว่าไม่ใช่สิ่งน่าประหลาดใจ แต่ควรคำนึงถึงเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศทางด้านสวัสดิการ และเมื่อประเทศได้บรรลุถึงความเจริญเติบโตทางด้านวัตถุระดับหนึ่งแล้วก็จะหันมาปรับปรุงทางด้านวัฒนธรรมและจิตใจ ประเทศก็จะพัฒนาไปในที่สุด
การบริโภค
ตามความคิดของมิลล์ การบริโภคแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. การบริโภคที่มีประสิทธิภาพ คือ การบริโภคที่ก่อให้เกิดการผลิต และแรงงานที่มีประสิทธิภาพก็จะเป็นผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพ นั่นหมายความถึง การบริโภคเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี และมีความสามารถในการทำงาน
๒. การบริโภคที่ไม่มีประสิทธิภาพ หมายถึง การบริโภคสิ่งของฟุ่มเฟือย หรือการเสาะแสวงหาความสุขจากการบริโภคถือว่าเป็นการบริโภคที่มิได้มีเป้าหมายเพื่อการผลิต
ทุน
เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ทุน คือ ผลิตผลของแรงงานที่ผ่านมาและได้ถูกเก็บสะสมเอาไว้เพื่อนำไปใช้ในการผลิต เช่น ที่พักอาศัย อาหาร และอุปกรณ์การผลิต เขากล่าวว่า เงินไม่ใช่ทุน เงินเป็นเพียงสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมิได้มีบทบาทสำคัญในการผลิตโดยตรงเหมือนทุน มิลล์มีข้อคิดเห็นสำคัญเกี่ยวกับทุน ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมถูกจำกัดโดยขนาดของทุน การจ้างงานจะเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อมีการสะสมทุนเพิ่มขึ้น
๒. ทุนมาจากการออม
๓. ทุนที่มาจากการออมถูกนำไปใช้เพื่อการลงทุนจนหมด
โดยสรุป มิลล์เห็นว่าการจ้างงานขึ้นอยู่กับจำนวนการสะสมทุน ทุนนั้นมาจากการออม และผู้เป็นเจ้าของทุนจะมีบทบาทสำคัญที่จะตัดสินใจว่าจะใช้ทุนเป็นจำนวนเท่าใด ในการจ้างงานอุปสงค์ต่อสินค้าไม่จำเป็นต้องมีบทบาทในการก่อให้เกิดการจ้างงานหรืออุปสงค์ต่อแรงงาน ดังนั้นอุปสงค์ต่อสินค้าจะทำให้ส่วนที่เป็นเงินออมลดลงและจะทำให้อุปสงค์ต่อแรงงานลดลงไปด้วย นอกจากนี้มิลล์ยังมองระบบเศรษฐกิจในสภาพที่มีการจ้างงานเต็มที่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งสามารถเขียนเป็นสมการ ดังนี้
Y = C + S
ถ้า C = คือ การบริโภค
S = คือ การออม
Y = คือ รายได้ ณ ระดับการจ้างงานเต็มที่
ดังนั้นถ้าการบริโภคมีมากขึ้นจะทำให้การออมลดลงและจะทำให้เงินทุนลดลงในที่สุดอุปสงค์ต่อแรงงานลดลงไปด้วย
การกระจายรายได้
มิลล์มีความคิดเห็นว่าระบบทุนนิยมในประเทศอังกฤษไม่ประสบความสำเร็จในการกระจายรายได้ กล่าวคือ ทำให้คนที่ร่ำรวยยิ่งร่ำรวยต่อไปอีก และคนที่ยากจนก็จะยิ่งยากจนต่อไป ดังนั้นควรมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะดังกล่าวเพื่อช่วยผ่อนปรนปัญหาการกระจายรายได้ด้วยวิธีการที่พวกสังคมนิยมเสนอ คือ การจัดตั้งสหกรณ์ ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน และเพื่อป้องกันการ แข่งขันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะยาว ตัวอย่างเช่น ปัญหาการกระจายรายได้ในภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรกรรมยังคงได้รับอิทธิพลจากจารีตประเพณีในระบบเจ้าขุนมูลนาย มิลล์เห็นว่าควรที่จะต้องมีการปฏิรูปเสียใหม่
ทฤษฎีกำไร
กำไรเกิดจากการที่แรงงานผลิตมากกว่าส่วนที่จะนำมาใช้ในการเลี้ยงดูแรงงานผลกำไร คือ ส่วนของผลิตผลคงเหลือซึ่งตกอยู่กับนายทุนหลังจากที่ได้จ่ายค่าตอบแทนแก่แรงงานแล้ว อย่างไรก็ตามนายทุนจำเป็นต้องจ่ายค่าตอนแทนให้แก่แรงงาน รวมทั้งค่าวัตถุดิบ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต ซึ่งเป็นทุนที่จะนำมาใช้จ่ายและเพื่อหาผลประโยชน์ที่จะได้รับในอนาคต
โดยสรุปกำไรจึงเป็นผลตอบแทนต่อผู้ประกอบการซึ่งมีองค์ประกอบ ๓ ส่วน คือ
๑. อัตราดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนต่อการใช้เงินทุนของผู้ประกอบการ ซึ่งหมายถึง ผลตอบแทนต่อความเสียสละของผู้ประกอบการ
๒. ค่าตอบแทนต่อการจัดการในฐานะที่ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจ (Wage of Management)
๓. ผลตอนแทนต่อการเสี่ยง
ปัจจัยกำหนดกำไรที่สำคัญมี ๓ ประการ คือ
๑.ประสิทธิภาพในการผลิตของแรงงาน ซึ่งก็คือ จำนวนผลิตผลที่ผลิตได้
๒.สัดส่วนของผลิตผลที่เป็นค่าจ้าง
๓.ต้นทุนของแรงงาน (Cost of Labor)
อัตรากำไรมีแนวโน้มที่จะลดลงและจะลดลงจนถึงระดับต่ำสุด ซึ่งอัตรากำไรต่ำสุดนี้จะชดเชยพอกับความเสียสละ และค่าเสี่ยง เหตุที่ทำให้อัตรากำไรลดลงก็คือ ช่องทางที่จะใช้เงินทุนนั้นค่อยๆ หมดไป ช่องทางที่จะลงทุนถูกจำกัดโดยที่ดินในประเทศและตลาดต่างประเทศที่จะรับซื้อสินค้าหัตถกรรม ดังนั้นถ้าที่ดินถูกใช้ประโยชน์และตลาดต่างประเทศไม่สามารถขยายออกไปพอที่จะใช้เงินที่ตนมีอยู่ได้เพียงพอก็จะทำให้อัตรากำไรลดลง
วิธีการที่จะแก้ไขไม่ให้อัตรากำไรลดลงมีหลายวิธีการ ดังนี้
๑.การทำลาย เช่น สงครามจะทำให้อัตรากำไรค่อยกระเตื้องสูงขึ้น
๒.การปรับปรุงเทคนิคในการผลิตให้ดีขึ้นโดยเฉพาะเทคนิคในการผลิตสินค้าประเภทอาหาร
๓.การขยายการค้ากับต่างประเทศเพื่อจะได้สินค้าประเภทอาหารราคาถูกจากต่างประเทศ
๔.การส่งทุนออกไปนอกประเทศ
ท้ายสุดมิลล์ได้กล่าวถึงดอกเบี้ยว่าเป็นส่วนหนึ่งของกำไรและเป็นผลตอบแทนโดยตรงต่อการเสียสละหรือการละเว้น (Abstain) เพื่อที่จะสร้างทุนขึ้นมา การเสียสละหรือการละเว้นมองได้ ๒ ทาง คือ
๑.การละเว้นการบริโภคในปัจจุบันเพื่อให้มีรายได้เหลือเพื่อการสะสมทุน
๒.การสละสิทธิ์ที่จะใช้เงินทุนดังกล่าวแล้วไปให้คนอื่นใช้แทน
มิลล์ได้อธิบายว่าอัตราดอกเบี้ยถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของเงินที่จะให้กู้ยืม กล่าวคือ อัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่จะทำให้อุปสงค์ของเงินที่กู้ยืมเท่ากับอุปทานของเงินที่จะให้กู้ยืม เมื่อใดก็ตามที่เงินทุนมีมากกว่าความต้องการอัตราดอกเบี้ยจะลดลง และหากความต้องการเงินทุนมีมากกว่าปริมาณเงินให้กู้อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น
อุปสงค์ต่อเงินทุนประกอบด้วยอุปสงค์เพื่อการลงทุน อุปสงค์ต่อเงินทุนของรัฐบาล และเจ้าของที่ดินเพื่อการบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดการผลิต หรือการบริโภคที่ไม่มีประสิทธิภาพ และ อุปทานของเงินทุนประกอบไปด้วยเงินออมเงินฝากในธนาคาร และธนบัตรที่ใช้หมุนเวียน
ทฤษฎีค่าเช่า
ค่าเช่า ในอดีตเป็นผลของการผูกขาด เจ้าของที่ดินสามารถจะกำหนดราคาได้ตามใจชอบ แต่ในเวลาต่อมาผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินมีจำนวนมาก และมีการแข่งขันกันจนกระทั่งไม่สามารถ รวมตัวและกำหนดค่าเช่าได้ตามใจชอบ ดังนั้นค่าเช่าจึงเกิดจากการที่จำนวนของที่ดินที่มีคุณภาพดีๆ ซึ่งมีอยู่จำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการอาหาร อันเนื่องมาจากการที่ประชากรเพิ่มขึ้นตลอดเวลา นอกจากนี้มิลล์ยังกล่าวถึงว่า ถ้าที่ดินมีทางใช้ประโยชน์ได้หลายทาง ค่าเช่าจึงถือได้ว่าเป็นต้นทุนการผลิต ทั้งนี้เพราะถ้าที่ดินใช้ประโยชน์ได้หลายทาง ผู้ที่ต้องการใช้ที่ดินในการผลิตจะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่เจ้าของที่ดินเพื่อจะได้ใช้ที่ดินดังกล่าว ไม่เช่นนั้นเจ้าของที่ดินอาจนำที่ดินของเขาไปใช้ในทางอื่น ในกรณีนี้ค่าตอบแทนที่จะจ่ายให้กับเจ้าของที่ดินย่อมเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการผลิต
ทฤษฎีมูลค่า
มิลล์ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างมูลค่า (Value) กับราคา (Price) โดยกล่าวว่า มูลค่านั้นหมายถึง อำนาจซื้อของสิ่งของ ส่วนราคานั้นเป็นมูลค่าในรูปของเงินเป็นจำนวนเงินซึ่ง สิ่งของนั้นสามารถแลกได้ มูลค่าของสิ่งของจะถูกกำหนดโดยต้นทุนการผลิต ซึ่งประกอบด้วยค่าจ้างแรงงานและกำไร และอาจรวมเอาภาษีเข้าไปด้วย ทั้งนี้เพราะการที่มูลค่าของสินค้าที่เปลี่ยนไปก็ต่อเมื่อภาษีที่เก็บนั้นมีอัตราภาษีต่างกัน
ในการอธิบายทฤษฎีมูลค่าของมิลล์ ได้แบ่งสินค้าออกเป็น ๓ ประเภท คือ
๑.สินค้าที่มีจำนวนจำกัดและไม่สามารถจะผลิตเพิ่มขึ้นได้อีก มูลค่าของสิ่งของจะถูกกำหนดโดยความหามาได้ยากของมัน และความต้องการของคน เช่น รูปปั้นโบราณ ภาพเขียนของนักวาดเขียนเก่าแก่ เป็นต้น
๒.สินค้าที่สามารถผลิตได้เพิ่มขึ้นอย่างไม่จำกัด โดยการใช้ทุนและแรงงานในการผลิตเป็นจำนวนคงที่ ต้นทุนการผลิตสินค้าประเภทนี้คงที่ไม่ว่าจะผลิตเป็นจำนวนมากเท่าไรก็ตาม มูลค่าของสินค้าประเภทนี้จะถูกกำหนดโดยต้นทุนการผลิตและการปรับตัวในระยะยาวของผู้ผลิต
๓.สินค้าที่สามารถผลิตเพิ่มขึ้นได้โดยที่ต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้นนั้น หมายถึง
การผลิตสินค้ามากขึ้นบนที่ดินแปลงเดิมนั้นจะต้องใช้ทุนแรงงานเพิ่มขึ้นจึงจะได้ผลิตผลเท่าเดิม และมูลค่าสินค้าประเภทนี้จะถูกกำหนดโดยต้นทุนการผลิต ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตบนที่ดินที่มีคุณภาพ ต่ำสุด สินค้าประเภทนี้ได้แก่ สินค้าเกษตร
บทบาทของรัฐบาล
ตามความคิดของมิลล์ รัฐบาลควรมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองจากการถูกคุกคามโดยการใช้กำลังและจากการถูกหลอกลวง นอกจากนั้นแล้วทุกคนก็มีสิทธิจะทำอะไรได้โดยที่รัฐไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เมื่อไม่ได้กระทำผิดกฎหมายใดๆ ส่วนรัฐบาลนั้นควรกระทำหน้าที่บางอย่างเช่น การออกกฎหมายเกี่ยวกับการรับมรดก การรับรองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน การออกเหรียญหรือเงินตราที่ใช้หมุนเวียนในประเทศ การสร้างถนน เป็นต้น
นอกจากนั้นแล้วอาจจะมีกิจกรรมหรือทำหน้าที่ที่รัฐบาลอาจจะต้องทำเพื่อประโยชน์แก่สังคมโดยส่วนรวม เช่น การเก็บภาษีจากที่ดิน การควบคุมการผูกขาด การออกกฎหมายเพื่อให้ความยุติธรรมแก่คนงานเกี่ยวกับเรื่องค่าจ้างและชั่วโมงการทำงาน อนุญาตให้มีการรวมตัวกันระหว่างคนงานเป็นสหภาพแรงงาน
สำหรับบทบาทในด้านการศึกษา รัฐบาลควรจะส่งเสริมให้มีการศึกษาทางด้านศิลปวัฒนธรรม และการพักผ่อนหย่อนใจของคน เช่น การสร้างพิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ เป็นต้น
ท้ายสุดสำหรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รัฐจะเข้ามามีบทบาทเพื่อปรับปรุงแก้ไขความไม่เท่าเทียมกันและการเอารัดเอาเปรียบกันในสังคม และเพื่อสวัสดิการของคนส่วนใหญ่ในสังคม
ไม่มีความเห็น