เช้าวันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ในขณะที่ผู้คนต่างเดินทางไปร่วมงานประเพณีทอดกฐิน ที่วัดดูเงียบ แต่ก็ยังมีพ่อออกแม่ออก มาวัดตามปกติ แม้ดูบางตาไปก็ตาม ... ส่วนข้าพเจ้านั้นมาถึงสายกว่าทุกครั้ง
การเดินทางของข้าพเจ้ามักเดินทางสวนทางกับผู้คนอยู่เสมอ
มีคำถามจากโยมคนหนึ่งที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ ถามข้าพเจ้าว่าทำไมไม่ติดตามไปทอดทอดกฐิน ... ข้าพเจ้าตอบเธอไปว่า "มีหน้าที่อยู่ที่นี่ เด็กๆ ยังอยู่ และที่วัดจะดูเงียบ และที่สำคัญวันไหนคนน้อยกับข้าวที่ขึ้นถวายพระจะมีน้อยตามไปด้วย"
และดูเหมือนว่าคุณโยมท่านนั้นเธอค่อนข้างจะเข้าใจดี จึงไม่เซ้าซี้ข้าพเจ้าต่อ
หลายๆ คนชอบไปงาน
แต่สำหรับข้าพเจ้า คนไปงานนั้นมีมากแล้ว แต่คนที่มาสงเคราะห์เด็กๆ เหล่านี้กลับแทบไม่มี บางคนเลือกไปงานก่อนนึกถึงการช่วยเหลือเด็กๆ...แต่ข้าพเจ้าพยายามฝึกฝนตนเองให้ทวนกระแส ดังนั้นหลายคนจึงไม่ค่อยเห็นข้าพเจ้าไปร่วมงานบุญที่ไหน
วันนี้...
ช่วงเช้า ข้าพเจ้านัดเด็กๆ สอบสวดมนต์
แรมโบ้อาสาก่อน ซึ่งทำได้ดี จากการตัดสินใจของแรมโบ้ทำให้สมาชิกคนอื่นๆ กล้าที่จะสอบสวดมนต์ แม้บางคนอาจจะได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ข้าพเจ้าก็ให้ผ่าน เพราะถือว่ามีความตั้งใจ ซึ่งผู้ใหญ่ส่วนใหญ่อาจสวดไม่ได้เลยก็มี ต้องอาศัยการดูหนังสือ แต่เด็กๆ เหล่านี้ถือว่าการฝึกฝนของพระอาจารย์สามารถบ่มเพาะให้เขาสามารถสวดมนต์ได้ในระดับหนึ่ง
บทที่ข้าพเจ้านำมาใช้ในการสอบก็มีให้เลือกคือ
กายะคาตาสติ
คาถามิตร ๔ จำพวก
อภิณหปัญจเวคขณะ
อนิจจาคาถาแปล
ซึ่งแต่ละบทก็ไม่ใช่น้อยๆ ยาวพอสมควร และคำสวดค่อนข้างยากสำหรับเด็กๆ ที่มาฟื้นฟูยาเสพติดที่หลายๆ คนไม่ได้เรียนหนังสือ
การที่เขาพากันสวดมนต์ได้นี้ถือว่า สมองเริ่มได้รับการฟื้นฟู มีความตื่นรู้เกิดขึ้น ความจดจำที่เกิดจากการมีสมาธิ อันเป็นการฝึกสมาธิผ่านกิจกรรมการทำงานพัฒนาวัด โดยช่วงนี้สมาชิกศูนย์ทำงานต่อเติมศาลา ๓ และ ศาลา ๔
ข้าพเจ้าเชื่อว่า...
กิจกรรมต่างๆ ที่เด็กๆ ได้ทำ นั้นนอกจากจะได้เสียสละ บำเพ็ญสาธารณูประโยชน์ต่อวัดและพัฒนาวัดแล้ว สิ่งที่เขาได้เพิ่มเติมคือ การออกแรงกาย...ร่างกายได้ขับสารพิษ (toxin) ผ่านเหงื่อ และที่สำคัญได้ฝึกเจริญสติให้มีเพิ่มพูน พร้อมการฝึกฝนสมาธิในระดับที่ใช้ในการทำงาน
...
๒๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔
ไม่มีความเห็น