ตามที่กรมปศุสัตว์ได้จัดทำโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อพันธุ์ดีในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบกับกรมฯ มีนโยบายที่จะส่งเสริมการเลี้ยงโคเพื่อการส่งออกในพื้นที่ดังกล่าวในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 การผลิตพืชอาหารสัตว์ซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงโคเนื้อ จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้การเลี้ยงโคประสบผลสำเร็จหากมีความรู้ความเข้าใจในการหาพันธุ์หญ้าและถั่วพืชอาหารสัตว์ที่เหมาะสมในแต่ละสภาพพื้นที่ต่าง ๆ ของภาคใต้ ตลอดจนมีวิธีการจัดการใช้ประโยชน์จากแปลงพืชอาหารสัตว์นั้นให้ได้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี
ศักยภาพการผลิตพืชอาหารสัตว์ในภาคใต้
พื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยตั้งอยู่บนคาบสมุทรมลายู ขนาบด้วยทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดียทางฝั่งตะวันตก ส่วนทางฝั่งตะวันออกติดกับทะเลจีนใต้ มหาสมุทรแปซิฟิค พื้นที่ภาคใต้จึงได้รับอิทธิพลจากทั้งลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน) และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ตั้งแต่เดือนตุลาคม-มกราคม) และลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ (ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม) ซึ่งทำให้เกิดฝนตกตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงเดือนมกราคม และช่วงที่ฝนตกชุกที่สุดจะอยู่ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม สำหรับช่วงที่ฝนตกน้อยที่สุดอยู่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยตลอดปีมากกว่า 2,000 มิลลิเมตรต่อไป
พืชเศรษฐกิจที่สำคัญในภาคใต้ได้แก่ยางพารา มะพร้าว กาแฟ ปาล์มน้ำมัน ข้าวและไม้ผล ต่าง ๆ แม้ว่าข้าวจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่ผลผลิตยังไม่เพียงพอสำหรับบริโภค ส่วนพืชไร่และพืชผัก ต่าง ๆ มีปลูกกันน้อย เช่นเดียวกันกับการเลี้ยงปศุสัตว์ เช่น โค กระบือ ก็ยังมีเป็นส่วนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดการถือครองพื้นที่การเกษตร อย่างไรก็ตาม บริเวณพื้นที่ที่น่าจับตามองว่าจะเป็นแหล่งที่จะพัฒนาการเลี้ยงโคได้ดี ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา นราธิวาส พัทลุง สุราษฎร์ธานีและปัตตานี เนื่องจากมีศักยภาพทางด้านพื้นที่และความพร้อมของประชากร หากได้รับการสนับสนุนทางด้านปัจจัยการผลิต เงินทุน อัตรา ดอกเบี้ยและระยะเวลาผ่อนชำระหนี้นานจากรัฐบาล น่าจะทำให้การพัฒนาการเลี้ยงโค-กระบือในภาคใต้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ความต้องการโค-กระบือของตลาดทั้งภายในประเทศและนอกประเทศยังอยู่ในระดับสูง
ภาคใต้ของประเทศไทยมีความเหมาะสมที่จะผลิตพืชอาหารสัตว์เพื่อเลี้ยงโค-กระบือได้ดี ไม่ด้อยกว่าภาคอื่น ๆ ของประเทศไทย เมื่อพิจารณาจากปัจจัยสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยการต่อการเลี้ยงโค- กระบือดังต่อไปนี้
1. สภาพภูมิอากาศ เป็นที่ทราบกันดีว่าบริเวณภาคใต้ของไทยมีช่วงเวลาที่ฝนตกนานถึง 8
เดือนและปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยมากกว่า 2,000 มิลลิเมตรต่อปี จึงสามารถปลูกพืชอาหารสัตว์เลี้ยงสัตว์ได้เกือบตลอดทั้งปี ปัญหาการขาดแคลนอาหารหยาบคุณภาพดีในช่วงแล้งจึงพบน้อยกว่าภาคอื่น แต่อาจจะมีปัญหาทางด้านน้ำท่วมขัง จึงควรเลี้ยงสัตว์บริเวณพื้นที่ดอนและหาพันธุ์พืชอาหารสัตว์ที่ทนทานต่อสภาพน้ำขังได้
2. การใช้ประโยชน์ในที่ดินของเกษตรกร เกษตรกรในภาคใต้นิยมปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น อาทิเช่น มะพร้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และไม้ผลชนิดต่าง ๆ กันอย่างแพร่หลาย ระยะระหว่างต้นจะมีตั้งแต่ 4 x 6 เมตร 6 x 8 เมตร จนถึง 8 x 8 เมตร ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชและความอุดมสมบูรณ์ของดินในช่วงตั้งแต่เริ่มปลูกถึง 7 ปี ขณะที่ไม้ผล ไม้ยืนต้นยังเล็กอยู่ เกษตรกรสามารถใช้พื้นที่ระหว่างแถวของพืชหลักเหล่านี้ปลูกพืชอาหารสัตว์แซมแล้วตัดนำมาเลี้ยงโค-กระบือ นอกจากนี้ในสวนมะพร้าวที่อายุมากกว่า 7 ปี ยังคงมีร่มเงาไม่หนาทึบ สามารถใช้ปลูกพืชอาหารสัตว์บางชนิดที่ทนต่อร่มเงาได้ ซึ่งนอกจากจะมีอาหารหยาบสำหรับเลี้ยงสัตว์เพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดวัชพืชในสวน และมูลโค-กระบือที่ได้สามารถนำกลับไปใช้เป็นปุ๋ยคอกเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของดินในสวนไม้ผล ไม้ยืนต้นให้ดีขึ้นด้วย
ยางพารา มะพร้าว ปาล์มน้ำมัน นอกจากจะให้ผลผลิตปกติแล้ว ผลพลอยได้จากการแปรรูป เช่น กากเมล็ดยางพารา กากมะพร้าว กากปาล์มน้ำมัน (palm press fiber, palm kernel cake) ยังใช้เป็นแหล่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพอีกด้วย
3. นโยบายด้านการพัฒนาการปศุสัตว์ในภาคใต้ของรัฐบาล รัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาด้านปศุสัตว์ในภาคใต้มากกว่าภาคอื่น ๆ จะเห็นได้จากนโยบายที่ทำให้ภาคใต้เป็นเขตปลอดโรคระบาด ซึ่งจุดนี้ทำให้ภาคใต้ได้เปรียบภาคอื่น ๆ อยู่มาก เนื่องจากสัตว์มีโอกาสเป็นโรคระบาดน้อยลง และสัตว์ที่ปลอดโรคระบาดย่อมเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายสำคัญที่สนับสนุนการพัฒนาด้านปศุสัตว์ในภาคใต้ อาทิเช่น แผนปรับโครงสร้างและระบบการผลิตการเกษตร แผนฟื้นฟูการเกษตร และโครงการพัฒนาจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อเกษตรกรทั้งสิ้น
4. พืชพรรณตามธรรมชาติ ภาคใต้มีอากาศชุ่มชื้น ฝนตกชุก จึงมีพืชพรรณตามธรรมชาติขึ้นอยู่มากมายหลายชนิด และใช้เป็นแหล่งอาหารเลี้ยงโค-กระบือได้ ซึ่งจะพบพืชอาหารสัตว์พื้นเมืองในสภาพพื้นที่ต่าง ๆ กันดังนี้
ก. ในพื้นที่ทุ่งหญ้าธรรมชาติ ป่าสงวน ภูเขา เหมืองร้าง ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ดอน
1. หญ้าคา (Imperata cylindrica )
2. หญ้าหนวดเสือ (Heteropogon contortus )
3. หญ้าเจ้าชู้ต้นใหญ่ (Chrysopogon orientalis )
4. หญ้ากลม (Themeda triandra)
5. หญ้าขจรจบดอกเหลือง (Pennisetum setosum )
ข. ในพื้นที่ลุ่ม เช่น พื้นที่ชายขอบพรุ ริมหนอง ชายคลอง
1. หญ้าชันกาด (Panicum repens )
2. หญ้าปล้อง (Hymenachne pseudointerrupta )
3. หญ้าข้าวผี (Oryza rufipogon )
4. หญ้าหวาย (Ischarumu aristatum )
5. หญ้าไทร (Leesia hezandra )
6. พืชสกุลกกต่าง ๆ (Cyperus spp.)
ค. ในพื้นที่ร่มเงา เช่น ในสภาพสวนยางพารา, สวนมะพร้าว, สวนปาล์ม สวนไม้ผล
1. หญ้าข่มคา (Microstegium citiatum )
2. หญ้าเห็บ (Paspalum conjugatum )
3. หญ้าใบมัน (Axonopus compressus )
4. หญ้าตีนติด (Brachiaria distachya )
5. หญ้าละมาน, ขุยไผ่ขน (Ottochloa nodusa )
นอกจากนี้ยังพบพืชอื่น ๆ ขึ้นแซมทั่วไป เช่น ถั่วเกล็ดหอย (Desmodium spp.), ถั่วผี (Phaseolus lathyroides ), ผักโขมหนาม (Amaranthus spinosus ), ชุมเห็ดไทย (Cassia tora ), ถั่วคนทีดิน (Desmodium heterocarpon ) ฯลฯ
5. ปัญหาเกี่ยวกับสภาพพื้นดินในภาคใต้ ปัญหาพื้นฐานที่สำคัญเรื่องหนึ่งของภาคใต้ที่เกี่ยว-ข้องกับเกษตรกรรม คือปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพของดิน นอกจากจะมีความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำโดยธรรมชาติแล้ว ยังมีดินที่มีลักษณะพิเศษที่สร้างปัญหาในการจัดการเรียกว่าดินที่มีปัญหา และที่นับว่าสร้างปัญหาให้กับการเกษตรกรรมที่สำคัญ ๆ มีดังนี้
1. ดินที่มีชั้นดาน
2. ดินตื้น ดินมีหินลูกรังปน
3. ดินทรายจัด
4. ดินเปรี้ยวจัด/ดินเค็ม
5. ดินอินทรีย์ (ดินพรุ)
6. ดินเหมืองแร่
จะเห็นได้ว่าดินที่มีปัญหาดังกล่าวไม่ค่อยเหมาะสมสำหรับปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ นอกจากจะนำมาพัฒนาเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์และทุ่งหญ้าตามธรรมชาติ ส่วนมากให้ผลผลิตและคุณค่าทางอาหารสัตว์อยู่ในเกณฑ์ต่ำ เพื่อให้ได้ทุ่งหญ้าที่มีคุณภาพดีและให้ผลผลิตสูงพอเพียงกับความต้องการของโค-กระบือ จึงควรพิจารณาพืชอาหารสัตว์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ของภาคใต้
6. พันธุ์พืชอาหารสัตว์ที่เหมาะสมในแต่ละสภาพพื้นที่ของภาคใต้
สภาพพื้นที่ |
พันธุ์พืชอาหารสัตว์ |
- เขตพื้นที่ราบลุ่ม ดินเนื้อละเอียดหรือเหนียว มีความอุดมสมบูรณ์ ค่อนข้างต่ำ การระบายน้ำไม่ดี มีน้ำท่วมขังในฤดูฝน จัดเป็นดินนาที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ |
- หญ้าพลิแคทูลั่ม หญ้าซีตาเรีย หญ้าขน |
- เขตพื้นที่ราบ ดินเนื้อหยาบปานกลางหรือค่อนข้างเป็นทรายหยาบ มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง มีการระบายน้ำไม่ดี มีน้ำท่วมขังในฤดูฝน |
หญ้าพลิแคทูลั่ม หญ้าซิทาเรีย หญ้าขน หญ้าซิกแนลเลื้อย ถั่วโสนบก |
- เขตพื้นที่ลาดชันเล็กน้อยถึงชันปานกลางหรือค่อนข้างเป็นทราย มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีการระบายน้ำดีหรือดีปานกลาง มีการปลูกไม้ผลไม้ยืนต้นและยางพารา |
- หญ้ากินนี หญ้ากินนีสีม่วง หญ้าโคไร ถั่วเซนโตรซิมา ถั่วลิสงเถา |
- เขตพื้นที่ดินตื้น มีชั้นหินเศษหินหรือศิลาแลง ภายในความลึก 50 ซม. จากผิวดิน มีความลาดชันเล็กน้อยถึงมาก มีการระบายน้ำดีถึงดีปานกลาง |
- หญ้าซิกแนลเลื้อย หญ้าซิกแนลนอน หญ้าพลิกแคทูลั่ม ถั่วเวอราโนสไตโล ถั่วแกรมสไตโล กระถิน ถั่วไมยรา |
- เขตพื้นที่ลุ่มมีน้ำหรือน้ำทะเลท่วมขังเกือบตลอดปี เป็นดินตม ดินเลนหรือดินอินทรีย์ (ดินพรุ) |
- หญ้าขน หญ้าชันกาด |
- เขตพื้นที่ดินทรายจัด บางแห่งจะมีชั้นอินทรีย์วัตถุทับถมในระดับ ความลึก 100 ซม. จากผิวดิน พบตามชายหาด มีการระบายน้ำดีเกินไป |
- หญ้าซิกแนลเลื้อย หญ้าพลิแคทูลั่ม หญ้าโคโร ถั่วแกรมสไตโล |
7. การกระจายพันธุ์พืชอาหารสัตว์ไปสู่เกษตรกร มีพันธุ์พืชอาหารสัตว์หลายชนิดที่สามารถปลูกได้เลยด้วยเมล็ด เช่น หญ้าพลิแคทูลั่ม รูซี่ กินนีสีม่วง ถั่วเวอราโนสไตโล ถั่วแกรมสไตโล ถั่วเซนโตรซีมา โสนบก กระถินและไมยรา ซึ่งเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ศูนย์วิจัยอาหารสัตว์ สถานีอาหารสัตว์และสำนักปศุสัตว์จังหวัดและอำเภอสามารถจัดหามาได้ อาจจะมาจากแหล่งผลิตเมล็ดในภาคอื่นเนื่องจากพื้นที่ภาคใต้มีฤดูกาลที่ไม่แน่ชัด ทำให้การผลิตเมล็ดพันธุ์พืชอาหารสัตว์ทำได้ลำบาก
พันธุ์พืชอาหารสัตว์ที่ต้องขยายพันธุ์โดยการใช้หน่อพันธุ์ ท่อนพันธุ์ และเหมาะสมที่จะปลูกในสภาพพื้นที่ภาคใต้มีหลายพันธุ์ เช่น หญ้าขน หญ้าซิกแนลเลื้อย หญ้าซีตาเรีย หญ้าโคไร หญ้ากินนี หญ้าเนเปียร์ หญ้าชันกาด ถั่วลิสงเถา เป็นต้น ในการขยายพันธุ์พืชเหล่านี้ สมจิต (2537) ได้เสนอข้อควรดำเนินการดังนี้ คือ
1. คัดเลือกพื้นที่เหมาะสมเป็นแหล่งขยายหน่อพันธุ์ ท่อนพันธุ์ โดยพิจารณาดูความอุดม สมบูรณ์ของดิน แหล่งน้ำ และไม่ไกลจากพื้นที่เป้าหมายเพื่อสะดวกในการขนย้ายท่อนพันธุ์ไปปลูก
2. คัดเลือกเกษตรกรที่มีศักยภาพสูงและมีคุณสมบัติดี เข้าร่วมโครงการขยายพันธุ์พืชอาหารสัตว์
3. มีการเตรียมการล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี
4. การปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลและเกษตรกรจะต้องมีความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
8. ผลการวิจัยด้านพืชอาหารสัตว์ในภาคใต้ จากการทดลองวิจัยในศูนย์วิจัยอาหารสัตว์นราธิ-วาสและสถานีอาหารสัตว์ในเขตพื้นที่ภาคใต้หลายแห่ง พบว่ามีพันธุ์หญ้าและถั่วหลายพันธุ์ที่สามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลิตพืชอาหารสัตว์ได้
ตารางที่ 1 จะเห็นได้ว่าในดินชุดบ้านทอน (ดินทราย) พืชอาหารสัตว์ที่สามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ซึ่งพบว่า หญ้าซิกแนล เฮมิล ซีตาเรีย เนเปียร์ และกินนีธรรมดา ให้ผลผลิตน้ำหนักค่อนข้างดีอยู่ระหว่าง 4,345 - 6,431 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะที่หญ้าบัฟเฟลและถั่วเซอราโตรเจริญเติบโตได้ไม่ดี ให้ผลผลิตน้ำหนักสด 357 และ 1,056 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ
ตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่า ในสภาพดินพรุ หญ้ามอริซัสและหญ้าชันกาด สามารถเจริญเติบโตได้ดีกว่าหญ้าพลิแคทูลั่ม
อย่างไรก็ตาม ในสภาพดินชุดบ้านทอนซึ่งเป็นดินทรายจัดว่ามีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ และ ดินพรุผลผลิตพืชอาหารสัตว์ที่ได้ยังค่อนข้างต่ำอยู่มาก ดังนั้น การที่จะปลูกพืชอาหารสัตว์ในสภาพดังกล่าว นอกจากจะหาพืชที่สามารถเจริญเติบโตขึ้นได้ดีแล้ว การปรับปรุงดินก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง
จากตารางที่ 3 และ 4 จะแสดงให้เห็นว่าในสภาพการปลูกพืชอาหารสัตว์ในสวนมะพร้าวและสวนยางพารา สามารถทำได้โดยจะเห็นได้ว่าในสวนมะพร้าวที่อายุมาก 15 ปี พืชอาหารสัตว์หลายชนิดสามารถเจริญเติบโตได้ดี (ตารางที่ 3) ในขณะที่ในสวนยางพารามีอายุมาก 20 ปี การเจริญเติบโตของพืชอาหารสัตว์ลดลง (ตารางที่ 4) ทั้งนี้เนื่องมาจากในสวนมะพร้าวที่อายุมากจะมีทรงพุ่มที่โปร่งขึ้น ทำให้การบังเงามีน้อยลงเมื่อมะพร้าวมีอายุมากขึ้น ในขณะที่สวนยางพารามีอายุมากทรงพุ่มจะหนาทึบ มีการบังร่มเงามากขึ้น ทำให้พืชอาหารสัตว์ที่ปลูกภายใต้สวนยางพาราที่อายุมากเจริญเติบโตได้น้อยลง
ตารางที่ 1
การเจริญเติบโตของพืชอาหารสัตว์ที่ปลูกในชุดดินบ้านทอน (จ.นราธิวาส)
พันธุ์พืช |
ผลผลิตน้ำหนักสด (กก./ไร่) |
หญ้าซิกแนล |
6,431 |
หญ้าเฮมิล |
5,722 |
หญ้าซีตาเรีย |
6,005 |
หญ้าเนเปียร์ |
4,646 |
หญ้ากินนีธรรมดา |
4,345 |
หญ้าบัฟเฟล |
357 |
ถั่วเซอราโตร |
1,056 |
ตารางที่ 2
การเจริญเติบโตของพืชอาหารสัตว์ในสภาพดินพรุ
พันธุ์พืช |
ผลผลิตน้ำหนักสด (กก./ไร่) |
หญ้ามอริชัส |
3,535 |
หญ้าพลิแคทูลั่ม |
1,506 |
หญ้าชันกาด |
2,786 |
ตารางที่ 3
การเจริญเติบโตของพืชอาหารสัตว์ภายใต้สวนมะพร้าว (น้ำหนักแห้ง กก./ไร่)
พันธุ์พืช |
สวนมะพร้าวอายุ 2 ปี |
สวนมะพร้าวอายุ 15 ปี |
หญ้ารูซี่ |
1,440 |
2,084 |
หญ้ากินนีธรรมดา |
1,603 |
2,000 |
หญ้าซิกแนลเลื้อย |
2,110 |
1,720 |
หญ้าโคไร |
1,995 |
1,624 |
หญ้าใบมัน |
304 |
801 |
หญ้าตีนติด |
1,140 |
793 |
หญ้าขุยไผ่ขน |
387 |
681 |
ถั่วเซนโตรซีมา |
737 |
571 |
ถั่วเวอราโนสไตโล |
292 |
324 |
ตารางที่ 4
การเจริญเติบโตของพืชอาหารสัตว์ภายใต้สวนยางพารา (น้ำหนักแห้ง กก./ไร่)
พันธุ์พืช |
สวนยางพาราอายุ 2 ปี |
สวนยางพาราอายุ 20 ปี |
หญ้ารูซี่ |
4,908 |
460 |
หญ้ากินนีธรรมดา |
4,607 |
699 |
หญ้าซิกแนลเลื้อย |
4,187 |
462 |
หญ้าโคไร |
3,708 |
697 |
หญ้าใบมัน |
1,156 |
537 |
หญ้าตีนติด |
2,336 |
268 |
หญ้าขุยไผ่ขน |
1,836 |
464 |
ถั่วเซนโตรซีมา |
1,717 |
267 |
ถั่วเวอราโนสไตโล |
1,017 |
376 |
(Egara et.al, 1989)
สาส์นไก่ และข่าวปศุสัตว์ : มีนาคม 2539
ความเป็นไปได้ในการพัฒนาผลิตพืชอาหารสัตว์ในภาคใต้
ไม่มีความเห็น