โจทย์ของผมคือ
ศิลปินนอกพื้นที่ภาคอีสาน เป็นคำถามแรกในใจว่า
ผมจะหาคำตอบได้ที่ไหนอย่างไร แล้วมันมีทางใหนที่ผมสามารถที่จะติดต่อ
หรือพูดคุยกับศิลปินท่านนั้นได้อย่างง่ายและรวดเร็ว
เพราะการที่จะไปสัมภาาณ์ศิลปิน
ที่มีชื่อเสียงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายมากนัก
โดยเฉพาะเรื่องเวลาและสถานที่
สิ่งที่ผมสามารถที่จะติดต่อกับคนอื่นได้ง่ายและรวดเร็ว
คือโลกแห่งไซเบอร์ออนไลน์ที่เรียกง่ายๆว่าแซท นั้นเอง
ประเด็นแรกที่ผมสนใจ
คือศิลปินท่านนั้นจะต้องมีลักษณะแนวงานที่เรากำลังศึกษาอยู่
ผมจึงเลือก อาจารย์ นิพันธ์ โอฬารนิเวศน์ หัวหน้าภาควิชาทัศนศิลป์
คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ผม : หวัดดีครับอาจารย์
อาจารย์ นิพันธ์ : ครับ หวัดดีครับ
ผม : ผมเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัย มหาสารคามครับ ตอนนี้ทำงานเรื่องสัมภาษณ์ศิลปิน ผมสนใจในผลงานอาจารย์ก็เลยเลือกที่จะสัมภาษณ์อาจารย์ นิพันธ์ครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ครับ แต่วันนี้เราง่วงมาก
ผม : เหรอครับ เหนื่อยเหรอครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ไปทำธุระกับแม่กับญาติทั้งวันเลยครับ
ผม : อืมมครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : วันนี้เลยก็ได้ครับ!!!
แต่ไม่มั่นใจว่าจะตอบไรได้นะครับ
เพราะหลังจากนี้ต้องเตรียมงานไปเกาหลี เดี๋ยวไม่มีเวลา
ผม : งั้นอาจารย์ช่วยเล่าประวัติ อาจารย์ ให้ฟังหน่อยได้มั้ยครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : เกิดที่รพ.วชิระครับ แล้วย้ายไปๆมาๆกรุงเทพชัยภูมิ
ผม : อ้าวอาจารย์เป็นคนอีสานเหรอครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ประมาณนั้น เอาเป็นว่าเป็นคนชัยภูมิแล้วกันครับ
ผม : แล้วอาจารย์ชอบศิลปะหรือเริ่มเรียนศิลปะตอนไหนครับและ ในช่วงเด็กๆอาจารย์มีแรงบันบาลใจอะไรถึงได้มาเรียนศิลปะ
อาจารย์ นิพันธ์ ชอบวาดรูปตั้งแต่เด็ก แรงบันดาลใจสำคัญคือการได้เรียนกับครู(จบเพาะช่าง)ตอนมศ. 1-3 ที่ชัยภูมิครับ แกเป็นต้นน้ำของผมหลายอย่าง ทำให้ตัดสินใจเรียนศิลปะที่เทคโนโคราช
ผม : พอจบจากโคราชอาจารย์ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นเลยรึเปล่าครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ป่าวครับ
เรียนปวช แผนกศิลปกรรมที่เทคโนโคราช
ช่วงนั้นได้เรียนกับใครหลายคน
ทำให้อยากเข้าจิตรกรรมศิลปากร ก็มาเรียนที่ศิลปากร
จบภาพพิมพ์ครับ
ผม : ครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : พอจบป.ตรี แล้วไปทำงานที่มสธ.(สุโขทัยธรรมาธิราช)ปีนึง สอนช่างศิลป์สามปี ค่อยไปสอบทุนญี่ปุ่นครับ จริงๆก่อนสอบทุนญี่ปุ่น(ตอนสอนช่างศิลป์)ผมเรียนโทที่ศิลปากรด้วย
ผม : ครับ แล้วเรียนที่ญี่ปุ่น กี่ปีครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : อยู่ที่ญี่ปุ่น 6 ปีครับ เรียนภาพพิมพ์นี่ล่ะ จบโทก็ต่อเอกเลยครับ
ผม แล้วการเรียนการสอนศิลปะที่นั้นแตกต่างจากที่ไทยมากน้อยแค่ไหนครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : มันไม่เหมือนเรียนนะ การเรียนของเราขึ้นตรงต่อโปรเฟสเซอร์ครับ โดยเฉพาะตอนป.โท เค้าปล่อยเราทำงาน ผมตื่นเช้าไป มหาลัย เปลี่ยนชุดทำงานถึงเย็นทุกวัน เว้นเสาร์และวันอาทิตย์
ผม : เหรอครับ แล้วอาจารย์มีเพื่อนคนไทยไปเรียนด้วยกันเปล่าครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : มีรุ่นน้องครับ ที่ไปเรียนด้วย ที่ตามไปตอนหลังที่เห็นก็คือ อาจารย์ วิมลมาลย์ ขันธะชวนะ แต่ที่สถาบันอื่นก็มีอีกคนนะ
ผม : ตอนนั้นการเป็นอยู่ยากลำบากมั้ยครับ และส่งผลต่อการทำงานศิลปะมากหรือเปล่าครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ผมได้ทุนครับ เลยไม่ค่อยลำบากครับ แต่ถ้าต้องหาตังค์เอง..น่าจะลำบากอยู่ครับ
ผม : แล้วอาจารย์ได้กลับบ้านปีละกี่ครั้งครับ
อาจารย์ นิพันธ์ :
ครั้งแรกที่กลับนั้นเกือบสองปีครับถึงกลับ...หลังจากนั้นปีละหนครับ
^^
ผม : โห้!!!นานมากครับ คิดถึงบ้านแย่สิครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ทุนส่วนนึงหมดไปกับค่าโทรศัพท์ ^^!
ผม : ฮ่าๆๆ ^^
ผม : แล้วภาษาเป็นสิ่งสำคัญมากมั้ยครับ กับการติดต่อสื่อสาร และเวลาส่งงาน
อาจารย์ นิพันธ์ : แน่นอนครับ แต่ของทางผมนี่ทางโน้นเค้าก็เข้าใจอะฮะ ผมเลยไม่เอาเป็นเอาตายกับภาษามากเท่าไร
ผม : แล้วงานช่วงที่เรียนอยู่ญี่ปุ่นอาจารย์ทำงานแนวไหนครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : งานที่แสดงอยู่ ที่ มศว.ตอนนี้คืองานที่ทำที่นั่นครับ แต่ให้พูดว่าทำไรนี่ยาวแน่ ^^
ผม : ที่เกี่ยวกับเรื่องข้าวใช่เปล่าครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ครับ นั้นเป็นงานช่วงหลังๆครับ ก่อนหน้านั้นทำภาพพิมพ์อย่างเดียว เบื่อมาก ไม่ไหว เลยหาทางออก
ผม : เรียนที่นั้นเค้าแบ่งแยกเรื่องเชื้อชาติมั้ยครับ ทั้งในการเรียน และในการเป็นอยู่
อาจารย์ นิพันธ์ : ไม่มีนิครับ นอกจากเราจะรู้สึกไปเอง ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนต่างชาตินะ แต่ไม่ได้รู้สึกแปลกแยกครับ ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้ ไม่รู้นะ!!!
ผม : แล้วอาจารย์เรียนจบที่ญี่ปุ่น อาจารย์กลับมาเป็นอาจารย์ที่ ม.กรุงเทพเลยหรือเปล่าครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ครับ ก่อนไปผมก็เป็นอาจารย์ช่างศิลป์ลาดกระบังครับ แล้วตอนนี้อยู่ ม.กรุงเทพครับ ภาควิชาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ ครับ
ผม : งานอาจารย์ในปัจจุบัน ส่วนมากเป็นแนวไหนครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ก็เป็น conceptual based อ่ะครับ แต่งานที่ทำตอนนี้ก็มีหลายอย่างที่โตมาจากการเรียนภาพพิมพ์ ครับ
ผม : แล้วตอนนี้ได้ทำงานภาพพิมพ์บ้างหรือเปล่าครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ไม่ค่อยได้ทำพิมพ์แล้วครับ นอกจากสอน
ผม : เห็นงานอินสตอเรชั่น อาจารย์ ชุด city of ghost
อาจารย์ นิพันธ์ : นั่นงานที่เริ่มทำประมาณปี 2005 ครับ แล้วพัฒนาคิดต่อ ทำต่อมาเรื่อยๆครับ
ผม : อาจารย์คิดว่าศิลปะ แนวอินสตอเรชั่น หรือแนวใหม่ๆมันมีความยากง่ายในความเข้าใจต่อผู้มาชมมั้ยครับ ที่จะทำให้เค้าเข้าใจในตัวงานเรา
อาจารย์ นิพันธ์ : งานอะไรก็ยากครับ หมายถึงยากต่อการทำความเข้าใจ.. ไม่ได้หมายความว่าอะไรยากกว่าอะไร.. คำว่างานแนวใหม่นี่ไม่แน่ใจว่าคืออะไรนะครับ ผมกำลังคิดว่ามันไม่มีอะไรใหม่ อยากให้เข้าใจว่าแม้แต่งานวาดเส้น เราก็ต้องการการเข้าถึงอะครับ ฉะนั้นไม่ใช่ปัญหายากง่ายเก่าใหม่กว่ากันนะครับ
ผม : ครับ
ผม : แล้วงานในชุดต่อไปอาจารย์ จะออกมาในรูปแบบไหนครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : กำลังคิดอยู่ครับ ธันวามีงานเดี่ยว g23 มศว ครับ ตอนนี้กำลังเตรียมงาน เสไนเปอร์ไปแสดงที่เกาหลี ครับ
ผม : เป็นงานแสดงเดี่ยวหรือเปล่าครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : งานที่เกาหลีเป็นงานกลุ่มครับ เค้าให้เอางานไปชิ้นเดียวส่วนของเดือนธันวา ยังบอกไมได้จริงๆ ยังไม่แน่ชัดครับ
ผม : อาจารย์ไปแสดงงานต่างประเทศบ่อยมั้ยครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ไม่มากครับ หลังๆ ปีละหนสองหน แล้วแต่จังหวะครับ
ผม : งานที่จะไปแสดงที่เกาหลีนี้ เป็นงานเกาหลีกับไทยรึเปล่าครับ เป็นระดับนานาชาติ หรือเป็นกลุ่มศิลปะเกาหลี
อาจารย์ นิพันธ์ : ไม่แน่ใจครับ..รู้แต่เจี๊ยบจิมทอมสันเป็นคนคิวเรต ไปที่ Seoul Museum of Art
ผม : ดีจังครับ ได้ไปเจอศิลปินต่างชาติได้ดูงานศิลปะด้วย
อาจารย์ นิพันธ์ : ^^
ผม : แล้วงานชุดนี้อาจารย์ต้องไปดูพื้นที่ติดตั้งงานก่อนมั้ยครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ไม่ครับ แต่ก็ให้รูปแบบการติดตั้งไป เพราะมันต้องทำผนังซ้อนขึ้นมาผนังนึงเลย
ผม : คนดูมองเข้าไปได้เปล่าครับ ตรงเลน ผมดูข้างในเหมื่อนมีอะไรอยู่ข้างในครับ เหมื่อนรูปถนนหรือคนยืนอะไรสักอย่าง
อาจารย์ นิพันธ์ : ครับ คือมีสามรู ผมใช้ภาพสามแบบอะครับ "อำนาจ"ภาพถ่าย พื้นที่ริมฟุตบาทในซอยรางน้ำ จากหน้าข่าวทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และอินเตอร์เนต นึกถึงคำ 4 คำ "อยู่" / "หาย" - "จริง" / "กลบ"
"ระยะห่าง"
ภาพถ่ายที่ผมถ่ายจากชั้นที่ 14
โรงพยาบาลจุฬาฯ
กับระยะห่างระหว่างจุดที่ผมยืนและภาพร่มรื่นของสวนลุมพินี
"การเฝ้ามอง"
ภาพเคลื่อนไหวผ่าน CCTV ของ(ด้านหลัง)ผู้ดูงาน
อาจารย์ นิพันธ์ : ใช้ภาพสามลักษณะดังที่ว่าครับ
ผม : คำว่าsniperนี้คือการเฝ้ามองหรือเปล่าครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : คำว่า sniper หมายถึง พลซุมยิง ครับ ผมเอาทั้งความจริง ปรับแต่ง และอุปมาของมันมาใช้ แต่มีคนบอกว่าโหดอะครับ และน่าจะมีคนคิดว่าผมเป็นเสื้อแดง^^'
ผม : ผมว่าไม่เหรอกครับ คนมีส่วนร่วมในงานด้วยครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : งานผมส่วนใหญ่มีkey word อยู่ที่คำว่า "ระยะห่าง" น่ะครับ แม่แต่ city of ghost "ระยะห่าง"ที่ว่าเป็นเชิงอุปมา ครับ ประเด็นสำคัญของผมคือการ พิจารณา สำเหนียกรู้ ตรึกตรอง สิ่งทั้งหลายอยู่ในพื้นที่"ระหว่าง"นั้น แต่ก็บ่อยๆที่ผมใช้กายภาพและการเคลื่อนตัวเข้าออกของคนดูกับตัวผลงาน หรือการให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปของระยะระหว่าง คนดูกับงาน เป็นกลวิธีในการขับเคลื่อนงาน ครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : นี่อีกชิ้นครับ..ก่อนหน้านั้น
อาจารย์ นิพันธ์ : เป็นงานปรุกระดาษใช้เพลงยาวอยุธยาเป็นเนื้อหา
ผม : งานชิ้นนี้ ทำไมต้องวางไว้ที่พื้นอ่ะครับ ที่เป็นตัวหนังสือ!!
อาจารย์ นิพันธ์ : อย่างที่บอกอะครับ "เล่น" กับระยะการดูของคนดู คนดูต้องก้มและนั่น ผมคิดว่ามันทำให้ระยะห่างของคนดูงานและเนื้อหาน่าจะถูกไตร่ตรอง
อาจารย์ นิพันธ์ : อันนี้อีกนิทรรศการครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : การปรุกระดาษ ก็นำเอาวิธีคิดมาจากอักษรเบลล์ มาใช้ในงาน แต่นี่คนตาบอดอ่าน(สัมผัส)ไม่ออก คนตาดีก็ยังต้องเข้าไปใกล้ๆ เพราะอ่านลำบาก คนต้องก้มและเพ่งดูครับ
เพราะงั้นผมถึงบอกวามันเป็นทั้งการอุปมาและการเล่นกับกายภาพ(การเคลื่อนที่ซึ่งทำให้"ระยะห่าง"เปลี่ยน)ของคนดูกับงาน
ผม : มันเป็นเม็ดอะไรครับใสๆ ทำเป็นเหมืื่อนหยดน้ำอ่ะครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ทำด้วยเรซินครับ!!! ข้างในเป็นภาพถ่าย
ผม : งานชิ้นนี้แสดงที่ไหนครับ ทำในช่วงปีไหนครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ที่ฮ่องกง สองปีก่อนมั้งครับ..ถ้าจำไม่ผิด มีcity of ghost ด้วย
ผม : งานอาจารย์มีหลากหลายมากในแต่ล่ะปีหรือเปล่าครับ
อาจารย์
นิพันธ์ : แล้วแต่จังหวะครับ ^^
ผม : แล้วอาจารย์จะกลับไปทำงานภาพพิมพ์อีกหรือเปล่าครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ไม่รู้ดิครับ อาจจะไม่นะ เพราะสอนทุกอาทิตย์ ไม่มีไอเดียอ่ะครับ ตอนอยู่ญี่ปุ่น ภาพิมพ์ตอนหลังๆ ของผมเอาวิธีคิดของงานอินสตอเรชั่นไปทำอะครับ ทำเร็วมาก ไม่มีการปรุงแต่ง
ผม : ทั้งสอนด้วย แล้วอาจารย์ เอาเวลาว่างตอนไหนทำงานศิลปะครับ เพราะงานอาจารย์มีแต่ชิ้นใหญ่ๆ คงต้องใช้เวลาในการจัดการมาก
อาจารย์ นิพันธ์ : ตามวาระครับ หาเวลาทำจนได้ สอนอย่างเดียวไม่ไหวหรอกครับ ผมใช้ทั้งการวางแผนและสัญชาติญาณ
ผม : คงเหนื่อยมากนะครับอาจารย์
อาจารย์ นิพันธ์ : เหนื่อยมากครับ
^^
อาจารย์ นิพันธ์ : นี่เป็นงานที่ใช้ภาพพิมพ์ด้วยชิ้นหลังๆ ทำขำๆอะครับ ปี 2008 เอ๊ย !!!2007ระยะห่างอีกแล้ว ระยะห่างจากดางจันทร์ถึงโลก 384403 กม. ให้คนนั่งเขียนถึงดวงจันทร์แลกเปลี่ยนกับงานภาพพิมพ์1 ชิ้นจริงๆ งานมันเป็นโต๊ะกาแฟอ่ะครับ อ.ถาวร ตอนนั้นเค้าชวนทำงานบนโต๊ะกาแฟ ผมก็ทำหนุกๆ
ผม : อาจารย์ไม่ง่วงนอนเหรอครับ พรุ่งนี้ต้องสอนนิครับ ผมรบกวนอาจารย์มากๆ
อาจารย์ นิพันธ์ : นอนประมาณตีหนึ่งครับ ตามสบายครับ
ผม : แล้วเวลาอาจารย์คิดงานนี้ยากมั้ยครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ยากครับ ยากมาก ทุกวันนี้ก็ยาก แต่ทำครับ..ต้องทำก่อน!!
ผม : อาจารย์คงพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ใช่เปล่าครับ เพราะอยู่ตั้งหกปี
อาจารย์ นิพันธ์ : ประมาณนึงครับ
ผม : แล้วมีโครงการจะกลับไปแสดงงานกับเพื่อนๆที่เรียนด้วยกันที่ญี่ปุ่นอีกหรือเปล่าครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ไม่มีเลยครับ..เคยเจอเพื่อนที่เรียนด้วยกัน ด้วยความบังเอิญครั้งเดียวเมื่อปี 2008 ที่ปูซานเบีนนาเล....ดีใจชะมัด ^^
ผม : ครับผม
ผม : ต้องขอบคุณอาจารย์นิพันธ์มากๆ ที่ให้ผมสัมภาษณ์ในครั้งนี้ ทำให้ผมได้รู้และเข้าใจในตัวงานวิธีการคิดในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยครับ ขอบคุณครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ไม่เป็นไรครับ ตามสบายนะครับมีไรก็คุยกันได้เสมอ ครับ
ผม : ครับ
อาจารย์ นิพันธ์ : ครับผม ^^
จากที่ผมได้พูดคุยกับอาจารย์ทำให้ได้รู้ถึงวิธีการจัดการและการสร้างสรรค์ผลงาน วิธีคิด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์ผลงานของตัวผมเองในอนาคต
เนื้อหาดีมีสาระมากครับ