ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากใบ และดอกโหระพา (โปรเจ็ค)
ความสำคัญและที่มาของปัญหา
อนุมูลอิสระ (Free radical) มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเกิดโรคต่างๆ หลายชนิด การมีอนุมูลอิสระมากเกินสมดุลก่อให้เกิดภาวะที่เซลล์และร่างกายถูกออกซิไดซ์ หรือภาวะออกซิเดทีฟสเตรส (Oxidative stress) ซึ่งสามารถนำไปสู่การทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตได้ (1) โดยทั่วไปการสร้างอนุมูลอิสระเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ร่างกายมีระบบในการป้องกันตัวเอง และสามารถช่วยลดความรุนแรงจากพิษของอนุมูลอิสระได้โดยอาศัยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ซึ่งเป็นสารที่สามารถทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระได้โดยตรง เพื่อกำจัดอนุมูลอิสระให้หมดไป หรือหยุดปฏิกิริยาลูกโซ่ไม่ให้ดำเนินต่อ สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น วิตามินซี (Ascorbic acid), วิตามินอี (α-Tocopherol) และกลูตาไธโอน (Gluthatione) เป็นต้น(2) จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าสมุนไพรและผักพื้นบ้านไทยหลายชนิดมีสารประกอบฟีนอลิก (Phenolic compound) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำหน้าที่ป้องกันการเกิดภาวะออกซิเดทีฟสเตรสเป็นองค์ประกอบ ทำให้ผู้คนเล็งเห็นถึงความสำคัญของการบริโภคผักและสมุนไพรพื้นบ้านที่ปลอดสารพิษมากขึ้นเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี
โหระพา (Ocimum basilicum Linn.) เป็นพืชในวงศ์ Lamiaceae นิยมใช้ในการปรุงอาหารไทยหลายชนิด มีสรรพคุณช่วยในการแก้ลมวิงเวียน ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้หูด แก้ปวดหัว แก้ไอ และแก้ท้องเสีย เป็นต้น(3,4) สารสกัดจากเมล็ด ราก ดอก ลำต้น และใบโหระพาถูกนำมาประยุกต์ใช้ทางการแพทย์อย่างหลากหลาย จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าสารสกัดจากโหระพามีฤทธิ์ในการลดการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด ลดระดับไขมันชนิด LDL และเพิ่มระดับไขมันชนิด HDL ในเลือดได้ ป้องกันการเกิดโรคที่เกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด ต้านการอับเสบ และยับยั้งสารก่อมะเร็ง(5-7) นอกจากนี้ยังสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิดได้ เช่น Staphylococcus aureus, Escherichia coli, Aspergillus niger และ Rhizopus solani เป็นต้น(8-12) จากการศึกษาของ Maisuthisakul และคณะ (2008) พบว่าใบโหระพาที่สกัดด้วยเอทานอลมีสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด (Total phenolic content) เท่ากับ 50.5 mg GAE/g และสามารถกำจัดอนุมูลอิสระดีพีพีเอช (DPPH·) ได้โดยมีค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่สามารถกำจัดอนุมูลอิสระดีพีพีเอชได้ 50% (EC50) เท่ากับ 1.8 กรัมต่อลิตร(13) นอกจากนี้จากศึกษาฤทธิ์ต้านอุนุมูลอิสระดีพีพีเอชในน้ำมันหอมระเหยของโหระพาในแต่ละฤดูกาลพบว่าน้ำมันหอมระเหยของโหระพาในฤดูหนาวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีพีพีเอชได้ดีที่สุด รองลงมาคือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูร้อน ซึ่งมีค่าความเข้นข้นของสารสกัดที่สามารถกำจัดอนุมูลอิสระดีพีพีเอชได้ 50% (IC50) เท่ากับ 4.8 ± 0.1 , 5.3 ± 0.2 , 6.0 ± 0.2 และ 6.7 ± 0.1 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ(14)
ปัจจุบันผู้คนให้ความสำคัญ และหันมาบริโภคสมุนไพรและผักพื้นบ้านไทยมากขึ้น ซึ่งโหระพาเป็นผักพื้นบ้านที่นิยมใช้ในการปรุงอาหาร แต่งกลิ่น และรสชาติอาหาร รวมถึงเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีการใช้เป็นประจำ ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากโหระพา โดยจะทำการวัดปริมาณสารประกอบฟีนอลิก ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระ และทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีพีพีเอช (DPPH radical) จากสารที่สกัดได้จากใบ และดอกโหระพาซึ่งเป็นส่วนที่นิยมนำมารับประทานมากที่สุด เพื่อเป็นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในการสนับสนุนฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของโหระพา และเพิ่มคุณค่าของผักพื้นบ้านไทยให้มีมูลค่ามากขึ้น และนำไปประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์ต่อไป
วัตถุประสงค์
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ทราบปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบ และดอกโหระพาที่สกัดด้วยน้ำ และเอทานอล เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกบริโภคผักพื้นบ้าน เป็นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในการสนับสนุนฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของโหระพา และนำไปประยุกต์ใช้ทางการแพทย์ต่อไป
รูปแบบการวิจัย
เป็นการวิจัยเชิงทดลองเพื่อวัดปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบ และดอกโหระพาที่สกัดด้วยน้ำ และเอทานอล
ขอบเขตการวิจัย
ขั้นตอนการศึกษา
1. การเตรียมและสกัดพืชที่ใช้ในการทดสอบ
นำใบ และดอกโหระพามาผึ่งลมให้แห้ง และอบจนแห้งสนิทที่อุณหภูมิประมาณ 50-60 องศาเซลเซียส จากนั้นชั่งใบ หรือดอกโหระพาอบแห้ง จำนวน 30 กรัม สกัดด้วยน้ำกลั่น หรือ 95% เอทานอล จำนวน 300 มิลลิลิตร โดยนำไปต้มและเขย่าบนเครื่องกวนสารพร้อมให้ความร้อน (Hot plate) ที่อุณหภูมิ 56 องศาเซลเซียส เป็นเวลานาน 12 – 16 ชั่วโมง กรองสารสกัดด้วยผ้าขาวบาง จากนั้นแบ่งน้ำกรองสารสกัดที่สกัดด้วยน้ำกลั่นใส่หลอดทดลอง หลอดละ 20 มิลลิลิตร และอบที่อุณหภูมิประมาณ 50-60 องศาเซลเซียส จนแห้ง และนำผงสารสกัดที่ได้เก็บที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส จนกว่าจะนำไปใช้งาน ส่วนสารสกัดที่สกัดด้วย 95% เอทานอล นำไประเหยแห้งด้วยเครื่องอบแห้ง (Rotary evaporator) จากนั้นนำผงสารสกัดที่เตรียมได้เก็บที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส จนกว่าจะนำมาใช้งาน
2. การวัดปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด (Total phenolic content)
หลักการทดสอบ
การวัดปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดโดยวิธี Folin-Ciocalteu method ประยุกต์จากวิธีของ Slinkard และคณะ (1977)(15) อาศัยหลักการ คือ สารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดทำปฏิกิริยากับ Folin-Ciocalteu reagent ซึ่งประกอบด้วย phosphomolybdic-phosphotungstic acid reagents สารดังกล่าวจะถูกรีดิวซ์โดย phenolic hydroxyl groups ของสารประกอบ ฟีนอลิกทั้งหมดเกิดเป็น tungsten และ molybdenum blue ซึ่งให้สีน้ำเงินและดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 760 นาโนเมตร
วิธีการทดสอบ
ผสมสารมาตรฐานกรดแกลลิค (Gallic acid) หรือสารสกัดที่ต้องการทดสอบ ได้แก่ สารสกัดใบโหระพาที่สกัดด้วยน้ำ สารสกัดใบโหระพาที่สกัดด้วย 95% เอทานอล สารสกัดดอกโหระพาที่สกัดด้วยน้ำ และสารสกัดดอกโหระพาที่สกัดด้วย 95% เอทานอล ที่ความเข้มข้นต่างๆ จำนวน 100 ไมโครลิตร กับน้ำกลั่น จำนวน 4.5 มิลลิลิตร จากนั้นเติม Folin-Ciocalteu reagent จำนวน 100 ไมโครลิตร และ 2% Na2CO3 solution จำนวน 300 ไมโครลิตร ผสมให้เข้ากัน ตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องในที่มืดเป็นเวลานาน 2 ชั่วโมง อ่านค่าจากการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 760 นาโนเมตร วัดปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดจากกราฟมาตรฐานในหน่วย mg gallic acid equivalents (GAE)/ gram dried weight
3. การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีพีพีเอช (DPPH·)
หลักการทดสอบ
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีพีพีเอชประยุกต์จากวิธีของ Braca และคณะ (2001)(16) อาศัยหลักการ คือ อนุมูลอิสระดีพีพีเอชในสารละลายสีม่วงเข้มได้รับอิเล็กตรอนหรือ H· จากสารทดสอบ จะกลายเป็นสารประกอบดีพีพีเอชที่เสถียรขึ้นและไม่มีสีม่วงเข้มเหมือนกับอนุมูลอิสระดีพีพีเอช ทำให้ตรวจวัดปริมาณของสารสกัดได้จากค่าการดูดกลืนแสงของสารละลายดีพีพีเอชที่ลดลงที่ความยาวคลื่น 517 นาโนเมตร โดยฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีพีพีเอชแสดงในรูปค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่สามารถกำจัดอนุมูลอิสระดีพีพีเอชได้ 50% (IC50)
วิธีการทดสอบ
ผสมสารสกัดที่ต้องการทดสอบ ได้แก่ สารสกัดใบโหระพาที่สกัดด้วยน้ำ สารสกัดใบโหระพาที่สกัดด้วย 95%เอทานอล สารสกัดดอกโหระพาที่สกัดด้วยน้ำ และสารสกัดดอกโหระพาที่สกัดด้วย 95% เอทานอล หรือ ascorbic acid (Positive control) ที่ความเข้มข้นต่างๆ หรือเมทานอล (Negative control) จำนวน 100 ไมโครลิตร กับ 0.1 M DPPH solution จำนวน 3 มิลลิลิตร ผสมให้เข้ากัน ตั้งทิ้งไว้ในที่มืด ที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลานาน 30 นาที แล้วนำไปวัดค่าการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 517 นาโนเมตร คำนวณหาเปอร์เซนต์การกำจัดอนุมูลอิสระดีพีพีเอช (DPPH radical scavenging activity) จากสมการดังนี้
DPPH radical scavenging activity (%) = (Absorbance Control - Absorbance Sample) × 100
Absorbance Control
การวิเคราะห์ข้อมูล
วิเคราะห์ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบ และดอกโหระพาที่สกัดด้วยน้ำ และเอทานอลด้วยสถิติ One-Way ANOVA
เอกสารอ้างอิง
ไม่มีความเห็น