เมื่อรถยนต์กระบะโฟวิลจอดเทียบบ้านหลังหนึ่ง ลักษณะบ้านยกพื้นสูงตัวบ้านประกอบด้วยไม้ทั้งหลังมุงกระเบื้องแบบทันสมัย ดูแล้วภูมิฐานกว่าบ้านอื่น ๆ ในละแวกนั้น น่าจะเป็นบ้านของผู้นำหมูบ้านหรือผู้มีอันจะกินแน่นอน ผมก้าวเท้าออกจากรถด้วยความตื่นเต้น เพราะหมู่บ้านแห่งนี้เคยรู้จักผ่านสื่อต่าง ๆ และเพื่อน ๆ ในแวดวงที่เคยติดตามความเคลื่อนไหวเล่าให้ฟังถึงกระบวนการต่อสู้ของชาวบ้านเพื่อยืนหยัดให้ได้อยู่ในผืนแผ่นดินถิ่นนี้ ทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนมีบาดแผลจากการกระทำของรัฐ ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาคือผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินนี้ ย่อมสามารถทำอะไรก็ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนต่างถิ่น นอกจากความตื่นเต้นแล้วบรรยากาศรอบ ๆ ตัวขณะนี้ยังทำให้จิตใจผ่อนคลาย เกิดความอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด ระว่างที่ยืนมองรอบ ๆ บ้านนั้น ลมได้พัดมาปะทะกายวูบหนึ่ง ถึงแม้ลมนั้นจะพัดพาเอาความร้อนของไอแดดบริเวณนั้น แต่ก็สร้างความสดชื่นได้ไม่น้อย หลังจากที่นั่งอยู่ในรถเกือบ 3 ชั่วโมง พวกเราก็ต่างพากันลุกลี้ลุกล้นขนเป้สำภาระลงจากรถ “ ใจเย็น ๆ พักผ่อนก่อนก็ได้ ตอนนี้ชาวบ้านเขารวมตัวกันที่วัด กำลังช่วยกันสร้างวิหาร พวกเราไปดูกันมั้ย ” เป็นเสียงของชายหนุ่มต่างถิ่นที่เขามาศึกษาหมู่บ้านแห่งนี้มานานแรมปี และเป็นที่รู้จักดีของชาวบ้านในแถบนี้ ซึ่งเดินทางมาในขณะของเราในฐานะผู้เชี่ยวชาญ พวกเราเรียกเขาว่า พี่อู๊ด หนุ่มผู้มีอารมณ์ดีตลอดเวลา คุยเก่ง และรอบรู้พอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนแห่งนี้ที่เขาคลุกคลีอย่างลึกซึ้ง เมื่อได้ฟังดังนั้น ผมก็มองดูเพื่อน ๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าจะเอาอย่างไรดี? ทุกคนก็พยักหน้า เห็นด้วย จึงได้พากันเดินตามทางขึ้นเนิน ซึ่งวัดตั้งอยู่บนเนินสูง ท้ายหมูบ้าน พวกเราต่างก้าวเดินบนดินที่ไม่มีพืชปกคลุมอยู่เลย แม้กระทั่งหญ้าซักต้น สันนิฐานน่าจะเป็นทางที่สร้างขึ้นมาเพียงไม่กี่ปีนี้เอง และมีบ้านเรือนของชาวบ้านปลูกขนาบทั้งสองข้างทางถนน ลักษณะการสร้างบ้านแบบง่าย ด้วยวัสดุอุปกรณ์ธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่น เสาบ้านเป็นไม้ที่มีขนาดเท่าทอนขาของผู้ใหญ่ มัดติดฝ่าบ้านด้วยไม้ไผ่ที่นำมาเฉาะให้เป็นแผ่น ๆ แต่ยึดติดกันอย่างเหนี่ยวแน่น มุ่งด้วยหญ้าคา แต่ถ้าบ้านหลังไหนที่มีฐานะหน่อยก็มุ่งหลังคาด้วยกระเบื้อง และมั่นคงกว่าบ้านหลังอื่น ระหว่างที่เราเดินขึ้นวัด ก็แวะชมร้านค้าต่าง ๆ ที่ขายของที่ระลึกชนเผ่าให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้ามาสัมผัสวิถีชีวิตของชาวปะหร่อง สินค้าบางชนิดเป็นฝีมือของชาวบ้าน แต่บางอย่างก็รับมาจากในตัวเมืองมาขายอีกที ซึ่งก็ได้ราคาดีพอควร นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็เข้าใจว่าเป็นฝีมือของชาวบ้านทุกชิ้น มีร้านค้าในลักษณะนี้กระจ่ายรอบหมูบ้าน บางคนก็ปลูกเรือนเล็กไว้สำหรับเป็นร้านค้าขายของโดยเฉพาะ บางคนก็ใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของบ้านใน การวางสินค้าเพื่อขายให้นักท่องเที่ยวได้ชม ของที่วางขายก็มีตั้งแต่ ผ้าซิ่นลายต่าง ๆ กำไลมือ สร้อยคอ แหวน หมวกชาวเขา และอื่น ๆ ที่บงบอกถึงความเป็นวัฒนธรรมของเขา จากการเดินสำรวจดูเกือบทุกร้านพบว่า สินค้าบางอย่างก็ไม่ได้แสดงถึงความเป็นชาวปะหร่องแต่อย่างใด กลับตรงกันข้ามอาจจะเป็นสินค้าที่ผลิตจากกลุ่มชาติพันธ์อื่น เช่น หมวก เป็นวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวม้ง ซึ่งความหมายตรงนี้ชาวบ้านไม่ได้มองในแง่ของความเป็นตัวตนของเขา แต่มองในมิติที่มันเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่สร้างรายได้ให้กับเขาเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นของพี่น้องม้ง หรือพี่น้องปกาเกอญอก็ไม่สำคัญ จากข้อสันนิษฐานของผู้เขียนอาจเป็นได้ว่า วัฒนธรรมที่จับต้องได้ (หมายถึงวัฒนธรรมที่เป็นสิ่งของ เช่น การแต่งกาย บ้านเรือน สถาปัตยกรรม) ของชาวเขาเผ่าปะหร่อง มีน้อยมาก ถ้าเทียบกับชนเผ่าอื่น ๆ ในประเทศไทย จากการบอกเล่าของปราชญ์ในชุมชนนี้พบว่า วัฒนธรรม ความเชื่อของชาวเผ่าปะหร่องมีความคล้ายคลึงกับชาวล้านนาเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวันสำคัญ วันดี วันเสีย รูปแบบของประเพณีพิธีกรรมต่าง ๆ แต่จนปานนี้ก็ไม่มีงานวิจัยชิ้นใดยืนยันหรืออธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างชาวเขาเผ่าปะหร่องกับชาวล้านนา ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ในภาคเหนือ
เมื่อเราเดินขึ้นมาบนเนิน ภาพของชาวบ้านที่กำลังช่วยกันก่อสร้างวิหารวัดก็ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน ต่างช่วยกันคนละไม้ละมือ บางคนขึ้นไปมุ่งกระเบื้อง บางคนก็ขนไม้มากองรวมกันไว้เตรียมประกอบโครงของวิหารต่อไป เป็นภาพที่สะท้อนความสามัคคีในหมูบ้านได้เป็นอย่างดี ชาวบ้านที่สูงอายุหน่อยก็นั่งมองด้วยความหวัง และปลื้มปิติ ตลอดถึงให้คำปรึกษา เอาใจช่วย ในการก่อสร้างวิหารหลังใหม่แห่งนี้ เมื่อพวกเราเดินไปถึงผู้คนเหล่านั้น ก็มีชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคลำ ท่าทางใจดี เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม “วัดดีครับอาจารย์อูด” เป็นคำทักทายที่อ่อนน้อมถ่อมตนอย่างยิ่งและแสดงถึงความเป็นมิตร ทำให้คนที่มาเยือนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ทราบชื่อภายหลังว่า ชื่อลุงคำผู้ที่เป็นกุญแจสำคัญในการไขไปสู่ประตูทางประวัติศาสตร์ชนเผ่าปะหร่องแห่งบ้านปางแดงใน การต่อสู้กับภาครัฐเพื่อมีพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยในประเทศไทยจวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ภาพประวัติศาสตร์ของหมูบ้านก็ปรากฏเป็นฉาก ๆ เมื่อเราสอบถามถึงเหตุการณ์ และชะตากรรมของพี่น้องปะหร่องในอดีต โดยลุงคำเป็นผู้ฉายภาพให้เราเห็น ด้วยแววตาเศร้า ๆ ปนความข่มขื่น ซึ่งท่านยังจดจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้อย่างชัดเจนว่า
เดิมทีชาวปะหร่องบ้านปางแดงอยู่ในเขตชายแดนพม่า เป็นรอยต่อระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า เป็นชนเผ่าที่ไร้สังกัดประเทศใดประเทศประเทศหนึ่ง เนื่องจากขาดการยอมรับจากรัฐทั้งสอง วันดีคืนดีทหารพม่าขึ้นมาบุกค้นหมู่บ้าน สองสามวันต่อมาฝ่ายทหารไทยก็ถือปืนเข้ามาขู่ เพื่อแสดงศักยภาพและบงบอกถึงอำนาจ ชาวบ้านดำรงชีวิตอยู่ด้วยความหวาดผวา ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ร้ายแรงจะเกิดขึ้นตอนไหน ข้าวปลาอาหารที่หามาได้ ด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน ก็มีผู้มาขอแบ่งโดยมิได้ลงทุนลงแรงแต่อย่างใด จำต้องยอมเพื่อให้ชีวิตตนอยู่รอด นานวันเข้าความอดทนก็สิ้นสุดลง..........
ลุงคำจึงตัดสินใจหลบหนีเข้ามาในประเทศไทย ในปี 2525 ทั้งที่รู้ว่าถ้าถูกทางราชการจับได้จะเกิดอะไรขึ้นกับตนและครอบครัว แต่ด้วยความจำเป็นและไม่มีทางเลือกจึงต้องหอบลูกหลานเข้ามาแสวงหาที่ทำกินในประเทศไทย ระหกระเหินตามหุบป่า ชายดอย โดยมีผู้ติดตามมาจำนวนหนึ่ง จนกระทั่งได้มาพบรักที่บ้านปางแดง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และได้ลงจอบปลูกต้นไม้ ปลูกข้าว สร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ในปี 2527 เป็นกลุ่มบุคคลแรก ๆ ที่บุกเบิกหมู่บ้านแห่งนี้ พร้อมพี่น้องอีกจำนวน 11 ครอบครัว โดยได้รวบร่วมเงินจำนวน 2,000 บาท เพื่อซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิม เป็นสัญญาการซื้อขายแบบง่าย ๆ มีเพียงพยาน 3 – 4 คน เท่านั้นที่รับรู้การซื้อขายครั้งนี้ เมื่อพี่น้องปะหร่องที่อาศัยอยู่ประเทศไทยทราบข่าว ซึ่งยังไม่มีที่ทำกินเป็นหลักแหล่ง ก็อพยพมาขออยู่ด้วย ผืนดินในแถบนี้เคยมีชนเผ่าต่าง ๆ เข้ามาบุกป่าทำไร่ ทำสวน และถางป่าจนกลายเป็นดอยหัวโล้น สภาพป่าในตอนนั้นก็มีความเสื่อมโทรม เหลือเพียงต่อไม้ที่โดนตัดเป็นอนุสรณ์ดูต่างหน้า ชาวบ้านก็ช่วยกันสร้างบ้าน ทำไร่ โดยทำในพื้นที่เดิมของชาวบ้านที่เข้ามาอาศัยก่อน ปลูกข้าวโพด ทำนา ปลูกถั่วลิสง มีพ่อค้าเข้ามารับซื้อถึงในหมู่บ้าน
ด้วยการดำรงชีวิตแบบเรียบง่ายจึงไม่มีความเดือดร้อนใดๆ วิถีประจำวันของชาวปะหร่องส่วนใหญ่จึงอยู่ในไร่ พอได้ผลผลิตก็ขายให้กับพ่อค้า และนำรายได้จากการขายพืช ผัก ซื้อเสื้อผ้า และของที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ความงดงามอีกอย่างหนึ่งของชนเผ่าปะหร่องก็คือ ความมีน้ำใจที่เอื้ออาทรต่อกันอย่างไม่เคยเหือดแห้ง แม้จะอยู่ในช่วงฤดูกาลไดของปีก็ตาม ใครที่ขาดเหลือเรื่องอะไรก็สามารถแบ่งปันกันได้ เพราะทุกคนถือว่าเป็นเครือญาติเดียวกันทั้งหมู่บ้าน ทำให้ผืนดินแถบนี้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่รกร้างว่างเปล่ามานานแรมปี
เช้าตรู่วันที่ 26 มกราคม 2532 เสียงไก่ขันดังระงมทั้งหมู่บ้าน เป็นสัญญาณปลุกให้ชาวบ้านตื่นจากภวังค์ โดยเฉพาะแม่บ้านเพื่อลุกขึ้นมาตำข้าว เตรียมไว้สำหรับครอบครัวในวันใหม่ ท่ามกลางความหนาวเหน็บที่แทรกซึมเข้ามาในผิวกาย กลุ่มหมอกยังคงอ้อยอิงอยู่กับต้นไม้ ใบหญ้า ประดุจดังหนุ่มสาวที่คลอเคลียร์มิยอมห่างจากกัน เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มทั่วป่าปลุกให้ชาวบ้านที่ยังไม่ลุกจากที่นอน จำต้องลุกขึ้นมาดูแขกผู้มาเยือนในยามเช้า ขบวนรถจำนวน 13 คัน เลื้อยตัวเข้ามาตามถนนเล็กๆ ลัดเลอะไปตามเนินเขาที่ไม่สูงนัก และขบวนรถก็สงบนิ่งอยู่กลางลานของหมู่บ้าน ชายฉกรรจ์มีอาวุธครบมือ ไม่ต่ำกว่า 30 คน ก็ล้อมหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ กองกำลังอีกส่วนหนึ่งก็เดินไปตามบ้านหลังต่าง ๆ “ ให้ผู้ชายไปรวมตัวกันที่บ้านของผู้นำหมู่บ้านเพื่อออกไปรับผ้าห่มที่อำเภอ “ เป็นประโยคที่หลุดจากปากของผู้มาเยือนยามเช้าด้วยเสียงที่เย็นชา ดวงตาแข็งกร้าว แฝงไว้ด้วยความลับอะไรบางอย่างที่ยากชาวบ้านซื่อบริสุทธิ์จะเดาความหมายได้ ชาวบ้านบางคนก็รับรู้ว่า ทางราชการจะแจกบัตรประชาชนให้ ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้รับบัตรประชาชน เพราะหมายถึงพวกเขาจะได้เป็นคนไทยอย่างถูกกฎหมาย และสามารถใช้ชีวิตที่นี้ได้อย่างสบายใจ ต่างคนก็ต่างเร่งรีบไปรวมตัวกันที่บ้านผู้นำ เมื่อไปถึงก็เห็นชายฉกรรจ์จำนวนมาก และรถยนต์เพื่อนำชาวบ้านไปรับบัตรประชาชนในอำเภอ “ รีบ ๆ ขึ้นไปบนรถเร็ว เหลือใครอีก เรียกกันมาให้ครบ “ เป็นเสียงที่แข็งกร้าว และดุดัน พร้อมทั้งหันไปมองรอบหมู่บ้าน เพื่อดูว่าจำนวนผู้ที่จะมานั้นครบหรือยัง “ ลุงไม่ต้องไปเพราะเขาไม่ต้องการคนแก่ “ เมื่อลุงคำพยายามปีนขึ้นรถที่มีความสูงกว่ารถทั่วไป พร้อมกันนั้นก็มีผู้มากระชากให้ลงจากรถ ด้วยความที่ต้องการอยากจะได้บัตรประชาชนเหมือนคนอื่น จึงอ้อนวอนพร้อมทั้งยกมือไว้ขอไปด้วยคน แต่ก็ยังได้รับคำยืนยันให้รออยู่ที่นี้ หลังจากนั้นลุงคำก็ได้ยินเสียงตะโกนจากลูกชาย ให้กลับไปเอาแบบสำรวจที่บ้าน เพื่อสำรวจพวกที่ไปว่ามีกี่คน เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะพาไปไหนกันแน่ ลุงคำรีบวิ่งกลับไปเอาแบบสำรวจที่บ้านเท่าที่กำลังมีอยู่ เมื่อกลับมาอีกครั้งรถก็กำลังเคลื่อนออกไปจากหมู่บ้าน ลุงคำต้องวิ่งตามไปเพื่อยืนกระดาษสีขาวให้กับลูก..........ขบวนรถค่อยเคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตาของทุกคนในชุมชน ผู้หญิง และเด็ก ต่างก็พูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะบางคนก็เริ่มเข้าใจความเป็นจริงบ้างแล้ว ในบางคนก็ยังเข้าใจว่าพวกผู้ชายออกไปรับผ้าห่ม.... เมื่อความสงบเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง พบว่าในหมู่บ้านมีเพียงเด็กและผู้หญิงเท่านั้น ลุงคำจึงเป็นผู้ชายคนเดียวในหมู่บ้านที่ไม่ได้ออกไปกับขบวนรถดังกล่าว
พระอาทิตย์เคลื่อนตัวสูงขึ้น แสงแดดยามเช้าสว่างจ้าสร้างความอบอุ่นให้กับชาวบ้านในยามอากาศหนาวเหน็บอย่างนี้ แต่ในใจของเขากลับหนาวยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ ข้าวปลาอาหารที่เตรียมไว้เพื่อทานด้วยกันในครอบครัว ก็ถูกจัดว่างไว้กลางบ้านเรียบร้อย แต่....จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นแม้เงาของใครซักคนกลับเข้ามาในหมู่บ้าน “เขาไปไหน ไปทำอะไร ปานนี้เขาได้ทานข้าวหรือยัง ” เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจของทุกคนที่คอยท่าอยู่บ้าน บางคนเริ่มเข้าใจชะตากรรมของตนเองบ้างแล้ว มีเพียงเสียงสะอื้นเบา ๆ ที่พยายามกลั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้ทุกคนเห็นว่าตนอ่อนแอ เมื่อใครซักคนนำข่าวมาบอกว่า พวกเขาคงไม่กลับมาอีกแล้ว ความเงียบก็ปกคลุมทั่วทั้งหมู่บ้าน ต่างก็นั่งเหม่อลอยมองไปนอกบ้านอย่างไร้จุดหมาย หยดน้ำใส่ ๆ รินไหลลงมาตามแก้มทั้งสองข้าง สมองมันสับสนไปหมด มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? จับต้นชนปลายไม่ถูก
ผู้ชายในหมู่บ้านจำนวน 29 คน ก็ทยอยลงจากรถ ที่หน้าว่าการอำเภอเชียงดาว พร้อมกับถูกแจ้งข้อหากระทำความผิด เป็นผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย พร้อมกันนั้นก็ถูกดำเนินคดีในข้อหา บุกรุกที่สาธารณะในเขตป่าสวน ทุกคนถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มหน้ารับสภาพตนเอง “ใช่สิเขาเป็นเจ้าของประเทศเขาย่อมถูกเสมอ เราเพียงหนี้ร้อนมาพึงเย็นเท่านั้น พวกคุณก็ไม่มีน้ำใจให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลยหรือ “ คงเป็นเพียงแค่เสียงความคิดที่ก้องกังวานอยู่ในใจยามนั้น จากที่เคยคิดว่า คนไทยเป็นคนมีน้ำใจ มีศีลธรรม เป็นบ้านเมืองที่คอยปกป้องคุมภัยให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข บัดนี้ศรัทธาได้มลายหมดสิ้น เนื่องจากมีเหตุผลตรงหน้านี้มาหักล้าง ทุกคนต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรงขังจำนวน 12 วัน ก่อนขึ้นศาลเพื่อตัดสินคดี “ อยู่ในนั้น 1 วัน เหมือนกับ 1 ปี “ เป็นเสียงบอกเล่าของนามแสง ผู้ที่ผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้น และจดจำได้อย่างไม่มีวันลืม เขายอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นบีบคั้นความรู้สึกของเขามาก จนทำให้เขาหวาดกลัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อถึงวันตัดสินคดี ปรากฏว่าศาลตัดสินให้ผู้กระทำผิดทั้ง 29 คน จำคุก 11 ปี ไม่รอลงอาญา
เมื่อสิ้นเสียงของศาล ทุกคนเขาอ่อน น้ำตาลูกผู้ชายไหลพรากมาเป็นสาย ก้มหน้าสะอื้นด้วยความเจ็บปวด ชายผู้หนึ่งนั่งคุกเขาพร้อมกับพนมมือไหว้พูดด้วยน้ำตานองหน้า “เราไม่อยู่เมืองไทยแล้ว เราจะกลับไปอยู่พม่า ปล่อยเราไปเถิด “ หลังจากนั้นก็มีเสียงสวนกลับบอกว่า “ไม่ได้เมื่อทำผิดก็ต้องได้รับโทษ มันช่างเป็นคำพูดที่กรีดหัวใจออกเป็นเสี่ยง ๆ ทำไมหนอเขาช่างใจร้าย ใจดำเหลือเกิน เขาเป็นมนุษย์หรือเปล่า เขามีความสุขกระนั้นหรือที่เห็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันลำบาก บัดนี้ใบหน้าของทุกคนเปื้อนน้ำตา วินาทีนี้คงทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้ และเสียงสะอื้นคอยปลอบประโลมจิตใจให้สงบ และช่วยระบายความอัดอั้นอะไรบางอย่างที่มันไม่สามารถพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์ได้
ทุกคนถูกลากขึ้นรถที่มีตัวหนังสือเขียนข้างรถ “กรมราชทัณฑ์ ” ซึ่งทุกคนถูกตรึงด้วยโซ่ ทั้งมือและเท้า มีชายฉกรรจ์ฉุด กระชาก ขึ้นรถ เพราะทุกคนไม่มีแรงที่จะก้าวแม้เพียงก้าวเดียว นานแค่ไหนไม่ทราบได้ เพราะในห้วงความคิดมันสับสนวุ่นวายไปหมด เป็นห่วงลูกและเมียที่อยู่ทางบ้าน อึดใจต่อมารถก็หยุดหน้าประตูทางเข้าตึก พร้อมกับคำสั่งให้ทุกคนลงจากรถ “ ต่อไปนี้เราจะหมดอิสรภาพแล้วหรือ ” พร้อมตะวันก็ค่อย ๆ ลับขอบฟ้า มีเพียงความมืดที่มาเยือน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ต้องการมันก็ตามเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่กำหนดมาเช่นนี้
ลุงคำ คือผู้ชายคนเดียวที่ไม่ถูกทางการจับกุมตัว เพราะต้องการให้เป็นผู้นำของผู้หญิงและเด็กในหมู่บ้าน เขาต้องอาศัยความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ เพื่อประคับประคองให้ลูกบ้านที่เหลือได้สู้ชีวิตต่อไป ถึงแม้ว่าภายในจิตใจจะร้องไห้ปานใด เขาก็ไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมา มีเพียงสิ่งเดียวที่ยึดเหนียวจิตใจตอนนี้ก็คือ พระพุทธศาสนา ตอนนั้นบ้านปางแดงยังไม่มีวัด ต้องเดินด้วยเท้ามาปฏิบัติธรรมนอนวัด ที่ถ้ำห่างจากหมู่บ้านประมาณ 2 ก.ม. ทุกวันพระตอนกลางคืนบ้านปางแดงจะเงียบเชียบ เพราะทุกคนไปนอนวัดไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม ความศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่งอื่นใด มีเพียงสิ่งนี้ที่คอยชโลมจิตใจให้สงบ พร้อมกับปฏิบัติตามศีล 5 อย่างเคร่งครัด เพราะลุงคำเชื่อว่า ความดีเท่านั้นที่จะช่วยปกป้องคุ้มครองตนเองและชุมชนให้อยู่รอดปลอดภัย ลุงคำเคยเล่าให้ฟังว่า มีคนมาชวนเข้าศาสนาหนึ่ง แต่ลุงคำและชาวบ้านปฏิเสธ สร้างความไม่พอใจให้บุคคลนั้นอย่างยิ่ง จนทำให้เขาบุกทำลายศาลเจ้าที่ของชาวบ้าน ลุงคำประกาศอย่างชัดเจนว่า ถ้าใครต้องการจะเปลี่ยนศาสนาก็ได้ แต่ต้องย้ายออกจากชุมชนแห่งนี้ เพราะลุงคำเชื่อว่า การที่คนมีความเชื่อแตกต่างกันแต่อยู่ในสถานที่เดียวกันนั้น มันจะเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ ทำให้การปกครองมีความยากลำบากยิ่งขึ้น หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านก็ถูกกรมป่าไม้เกณฑ์ให้ปลูกป่า ทดแทนป่าที่สูญเสียไป รอบ ๆ หมู่บ้าน โดยได้รับค้าจ้างในเบื้องต้นเพียงวันละ 20 บาทเท่านั้น โดยลุงคำรับหน้าที่ในการคุมลูกบ้านที่เป็นผู้หญิงระหว่างการทำงาน เวลาว่างที่เหลือจากการปลูกต้นสักให้ทางป่าไม้ ชาวบ้านก็ออกไปทำไร่ ทำสวนตามปกติ แต่ปีนี้บางครอบครัวต้องทำคนเดียว บางครอบครัวก็มีแรงงานเหลืออยู่บ้าง ซึ่งทุกคนก็ทำเท่าที่แรงกายเอื้ออำนวย มีหน่วยงานของราชการมาถามว่า ทำไมลุงคำไม่พาผู้คนเหล่านี้กลับไปประเทศพม่า ลุงคำให้เหตุผลว่า ตอนนี้กลับไปที่เดิมก็ไม่มีที่ทำกินแล้ว เพราะที่เดิมก็จะถูกกลุ่มอื่นเข้ามาจับจองเป็นของเขา และตอนนี้เขาก็เปรียบเหมือนกับคนที่ไม่มีแขนขา เนื่องจากผู้ชายที่เป็นวัยแรงงาน และเป็นคนสำคัญในการสร้างบ้านเรือนก็ไม่เหลือเลย ลำพังผู้หญิงคงไม่สามารถทำได้หรอก ดังนั้นการออกจากหมู่บ้านแห่งนี้จึงเท่ากับการออกไปตาย ลุงคำให้เหตุผลและยืนยันนักแน่นในการอยู่ที่นี้
เคราะห์กรรมของชาวปางแดงในยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองกลับเป็นผู้เบียดเบียน แย่งชิงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หมู่บ้านที่อยู่รอบ ๆ บ้านปางแดงใน ต่างทราบข่าวว่า ชุมชนแห่งนี้ไม่ (อ่านต่อภาค 2)
กรีดน้ำตา แล้วแหนหน้าสู้ต่อไป