การพัฒนากฎหมายเชิงบูรณาการในมาตรการบำบัดและฟื้นฟู
สืบเนื่องจากปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕
ก่อให้เกิดปัญหาการปฏิบัติหลายประการ เช่น ปัญหาการคัดกรองผู้เสพ ปัญหาการตรวจพิสูจน์และรอการตรวจพิสูจน์ ปัญหาการติดตามฟื้นฟูฯ และปัญหาการหลบเลี่ยงกฎหมายเพื่อให้พ้นจากระบบบำบัดฟื้นฟูที่เข้มงวด สำนักกฎหมาย สำนักงาน ป.ป.ส. จึงได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม : การพัฒนากฎหมายเชิงบูรณาการในมาตรการบำบัดและฟื้นฟูขึ้น เมื่อวันที่ ๘-๙ กันยายน ๒๕๕๔ โดยผลการประชุมโดยสังเขป มี ๒ ประเด็นสำคัญประกอบด้วย
๑. ปัญหาด้านกฎหมาย
ปัญหาของการบังคับใช้ พรบ.ฟื้นฟูฯ ประกอบด้วยปัญหาจากฐานคิดของกฎหมาย ปัญหาจากตัวกฎหมาย และปัญหาการบริหารจัดการ ดังนี้
๑) ฐานคิดของกฎหมาย ได้แก่
-การติดยาเสพติดสามารถบำบัดให้หายได้แม้ว่าจะใช้วิธีการบังคับ
-การบำบัดยาเสพติดสามารถทำให้ผู้ป่วยหายได้อย่างเด็ดขาด ภายใน ๖ เดือน – ๓ ปี
-เชื่อว่าวิธีการบำบัด (ตามระบบบังคับบำบัด) และแผนการฟื้นฟูฯ เป็นวิธีที่ถูกต้องและได้ผล
-ระหว่างบำบัดผู้เสพสามารถหยุดยาได้โดยทันที
-การที่ศาลสั่งห้ามผู้เสพยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดสามารถมีสภาพบังคับได้จริง
ซึ่งฐานคิดดังกล่าวนี้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
๒) ปัญหาจากตัวกฎหมาย
-ปัญหาหลักส่วนหนึ่งอยู่ที่ พรบ. มาตรา ๑๙ เช่น กลุ่มเป้าหมายที่นำเข้าสู่ระบบบังคับบำบัดมี ๔ ฐานความผิด ได้แก่ เสพ เสพและครอบครองเพื่อเสพ เสพและครอบครองเพื่อจำหน่าย ตลอดจนเสพและจำหน่าย โดยปริมาณยาเสพติด (กล่าวถึงเฉพาะยาบ้าซึ่งเป็นตัวยาปัญหาหลัก) ที่ยังอยู่ในฐานเสพ คือไม่เกิน ๕ หน่วยการใช้ (เม็ด) หรือสารบริสุทธิ์ ไม่เกิน ๕๐๐ มิลลิกรัม ในกลุ่มเป้าหมายนี้ผู้เสพต้องได้รับการบำบัด พนักงานสอบสวนไม่สามารถฟ้องคดีเพื่อลงโทษได้
นอกจากเรื่องกลุ่มเป้าหมายแล้ว ยังมีประเด็นถ้อยคำตามกฎหมาย คำว่า “ผู้ใด” “ต้องหา”
ว่ากระทำความผิด .... ซึ่งคำว่าผู้ใด แปลว่า รวมไปถึงบุคคลต่างด้าวที่กระทำความผิด และ “ต้องหา” หมายความว่า “ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีความผิด” ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการรอตรวจพิสูจน์ เช่น ปัญหาสถานที่ควบคุมตัวเพื่อรอการตรวจพิสูจน์ เนื่องจากกลุ่เมป้าหมายมีจำนวนมาก เป็นต้น
๓) ปัญหาจากการบริหารจัดการ
-การจำแนกผู้ป่วย (ผู้เสพ) ของคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ไม่สอดคล้องกับสถานที่บำบัด เนื่องจากข้อจำกัดปริมาณสถานที่รองรับผู้ป่วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ควบคุมตัวเข้มงวด ส่งผลให้คณะอนุกรรมการฯ ต้องตัดสินส่งตัวผู้ป่วยตามสถานะของศูนย์บำบัดฯ ที่ว่างพอรับผู้ป่วย โดยอาจไม่ตรงกับความจำเป็นของการบำบัด เช่น ผู้ป่วยรุนแรงซึ่งต้องควบคุมตัวเข้มงวด อาจต้องส่งไปบำบัดในรูปแบบควบคุมตัวไม่เข้มงวด หรือไม่ควบคุมตัว
-ในความเป็นจริงผู้ป่วยไม่ต้องการเข้าบำบัดฟื้นฟู ซึ่งอาจต้องยาวนานถึง ๔ เดือน ในขณะที่หากถูกฟ้องในคดีอาญา ส่วนใหญ่ที่ข้อหาไม่ร้ายแรงศาลมักสั่งให้รอการลงโทษ ซึ่งผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ และไม่ต้องบำบัด
-ผู้ที่ได้รับโอกาสเข้ารับการบำบัดคือผู้เสพ ซึ่งในทางปฏิบัติกลับมีผู้จำหน่ายปนอยู่ด้วย
๒. ข้อเสนอด้านกรอบคิด (ปรับทั้งระบบ)
-ควรแยกกระบวนการทางกฎหมาย กับกระบวนการทางการแพทย์ออกจากกัน โดยดำเนินการทางกฎหมายให้เสร็จสิ้น และให้แพทย์หรือบุคลากรทางสาธารณสุขเป็นผู้คัดกรอง พยากรณ์โรคแก่ผู้ป่วยเพื่อเข้าสู่กระบวนการบำบัดที่เหมาะสม
-กลุ่ม “ผู้เสพ” และ “เสพและครอบครองเพื่อเสพ” ควรให้สาธารณสุขเป็นผู้ดูแล โดยใช้ระยะเวลาเป็นตัวกำหนด ๑ – ๓ ปี (ไม่ใช้จำนวนครั้งเป็นตัวกำหนด) ในขณะที่กลุ่มเสพและครอบครองเพื่อจำหน่าย และ เสพและจำหน่ายต้องใช้มาตรการบังคับบำบัด (รวมถึงกลุ่มที่ผ่านการบำบัดตามสาธารณสุขแล้ว ๑-๓ ปี แต่ไม่ได้ผล)
-ควรรวมกฎหมายด้านการบำบัด โดยตัดข้อกฎหมายด้านบำบัดจากกฎหมายฉบับต่างๆ มาอยู่ด้วยกัน และเกิดการบูรณาการ ไม่ขัดแย้งกัน
๓. ข้อเสนอด้านตัวกฎหมายและกระบวนการบังคับใช้
๓.๑ ปรับหรือทำความชัดเจน ข้อกฎหมายมาตรา ๑๙
“ผู้ใดต้องหาว่ากระทำผิดฐานเสพยาเสพติด เสพและมีไว้ในครอบครอง เสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หรือเสพและจำหน่ายยาเสพติดตามลักษณะ ชนิด ประเภท และปริมาณที่กำหนดในกฎกระทรวง ถ้าไม่ปรากฏว่าต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีความในความผิดฐานอื่นซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกหรืออยู่ในระหว่างรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล ให้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาไปศาลภายใน ๔๘ ชั่วโมงนับแต่เวลาที่ผู้ต้องหานั้นมาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนเพื่อให้ศาลพิจารณามีคำสั่งให้ส่งตัวผู้นั้นไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติด เว้นแต่มีเหตุสุดวสัยหรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นที่เกิดจากตัวผู้ต้องหานั้นเอง หรือจากพฤติการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งอาจทำให้ไม่อาจนำตัวผู้ต้องหาไปศาลภายในกำหนดเวลาดังกล่าวได้ .....”
จากข้อความตามกฎหมาย มีปัญหาที่ต้องดำเนินการ ประกอบด้วย
-คำว่า “ผู้ใด” (คำนี้ส่งผลให้กฎหมายมีสภาพบังคับกับชาวต่างชาติ ซึ่งอาจไม่ได้อยู่ในประเทศไทยในระยะยาว) “ต้องหา” ความชัดเจนเรื่องกลุ่มเป้าหมายฐานความผิด เรื่อง “เสพ” และ “เสพ ครอบครอง จำหน่าย”
-ข้อความ “ถ้าไม่ปรากฏว่าต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีความในความผิดฐานอื่นซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกหรืออยู่ในระหว่างรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล” ปัญหาของข้อความนี้คือ เมื่อผู้ต้องหามีความผิดฐานอื่น ศาลต้องวินิจฉัยยกคำร้องของพนักงานสอบสวน (กรณีบังคับบำบัด) เพื่อให้นำผู้ต้องหาไปรับโทษทางอาญาจากความผิดฐานอื่น ซึ่งท้ายที่สุดผู้ต้องหาอาจได้รับการตัดสินรอการลงโทษ ทำให้ผู้เสพกลับสู่ชุมชนโดยไม่ได้รับการบำบัด
-การเร่งรัดของกระบวนการ เช่น การส่งตัวผู้ต้องหาไปศาลภายใน ๔๘ ชั่วโมง กรณีเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ที่นำส่งไม่ทันศาลมักยกคำร้อง ซึ่งกรณีเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเพราะเป็นการตัดสิทธิผู้ต้องหาที่จะได้รับการบำบัดฟื้นฟู
-ความยืดเยื้อของกระบวนการ เช่น การใช้ดุลพินิจให้ประกันตัวโดยคณะอนุกรรมการฯ ส่งผลให้คณะอนุกรรมการฯ ต้องมีการประชุมทั้งคณะจึงจะให้ความเห็นการประกันตัวได้ อันเป็นกระบวนการที่เกิดภาระโดยไม่จำเป็น
-การสร้างภาระแก่พนักงานสอบสวน เช่น กรณีผู้ต้องหาฟื้นฟูแล้ว ไม่ผ่าน พนักงานสอบสวนต้องไปรับตัวจากสถานบำบัดเพื่อส่งฟ้องใหม่ โดยก่อนหน้านั้นต้องไปยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อยกเลิกคำร้องเดิมก่อน
๓.๒ น้ำหนักของตัวยาเสพติดที่กำหนดฐานความผิดที่แยกระหว่างผู้เสพ และผู้จำหน่ายรายใหญ่ ในกรณียาบ้า ๕ เม็ด หรือสารบริสุทธิ์ ๕๐๐ มิลลิกรัม ซึ่งกรณีเมทแอมเฟมามีนชนิดเกล็ด (ไอซ์) ใช้ฐานการคำนวณปริมาณ ๕๐๐ มิลลิกรัมเช่นเดียวกัน (แต่ความรุนแรงของสารกรณียาบ้าผง ๕๐๐ มิลลิกรัม และ เมทแอมเฟตามีนผง ๕๐๐ มิลลิกรัมไม่เท่ากัน)
๓.๓ การกำหนดและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ดุลยพินิจให้มีแนวทางเดียวกันระหว่างหน่วยงาน เช่นพนักงานสอบสวนเป็นผู้จับกุม แต่เมื่อถึงชั้นศาล การกำหนดยี่ต๊อกของศาลอันเป็นมาตรฐานการลงโทษอาจส่งผลต่อประสิทธิผลของกระบวนการ
๓.๔ พรบ.ฟื้นฟูฯ ไม่ได้จำกัดจำนวนครั้งของกระบวนการตรวจพิสูจน์ และการเข้าฝากตัวในเรือนจำ ส่งผลให้ผู้รอการตรวจพิสูจน์เกิดการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกับนักค้าในเรือนจำ
๓.๕ การแก้ไขรายละเอียดของ พรบ. และกฎกระทรวง ในการให้อำนาจหน้าที่แก่ผู้บัญชาการเรือนจำในด้านการตรวจพิสูจน์
๓.๖ การให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการใช้ดุลยพินิจ อันประกอบด้วย ตำรวจ ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองท้องถิ่น อัยการ โดยการใช้ดุลพินิจร่วมกันตั้งข้อหา และมีทางเลือกในการส่งต่อที่หลากหลายตามข้อตัดสินของดุลยพินิจ (รวมถึงยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗)
ไม่มีความเห็น