พระเนื้อผงรูปทรงสี่เหลี่ยมที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในหมู่ผู้นิยมสะสมพระเครื่องกันอย่างขยายวงกว้างในปัจจุบันคงไม่พ้น “ พระสมเด็จพรุวัดพระแก้ว” บ้างก็เรียก “พระกรุวังหน้า” หรือ ตามแต่จะเรียกกันไปนะครับ ความชัดเจนในเรื่องประวัติศาสตร์ การสร้าง บันทึก จารึก พงศาวดาร หรือหลักฐานอะไรก็ตามแต่ ที่จะยืนยันแน่แท้ของพระกรุนี้ เท่าที่ เก๋าสยาม ลองสืบค้นข้อมูลดู ก็ยังไม่เจอแบบ โดนๆ ซักทีครับ
แต่... พระพิมพ์เหล่านี้มีให้เราพบเห็นจริง ๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ขอพักรบเรื่อง พระแท้ พระเก๊ กันก่อน แนวทางการสืบสวนเรื่องนี้ถ้าเราหาจากต้นเหตุยังไม่เจอ เราลองมองจากปลายเหตุย้อนไปหาต้นเหตุกันดูมั๊ยครับ..ลองดูครับ
พระพิมพ์ในสกุล “กรุวัดพระแก้ว” นี้ มีหลากหลายพิมพ์ พิมพ์หนึ่งที่ดูน่าสนใจไม่น้อยเลยคือ พิมพ์พระสมเด็จทรงหลังช้างข้างฉัตร ( ชื่อพิมพ์ เก๋าสยาม ตั้งเองนะครับอย่าถือเป็นมาตรฐาน) ตามรูปนี้เลยครับ
ตามข้อมูลของกลุ่มผู้นิยมสะสมพระเครื่องกรุนี้เชื่อกันว่า สร้างในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของในหลวงรัชกาลที่ ๕ หลังจากสร้างเสร็จแล้วมีการแจกจ่ายให้ข้าราชบริพาร ขุนน้ำ ขุนนางทั้งหลาย ก่อนนำบรรจุกรุในวัดพระแก้ว ความพิเศษของพระพิมพ์ในรูปนี้เท่าที่สังเกตเห็น การแกะพิมพ์พระทำอย่างประณีตบรรจง มีมิติ เหลื่อมล้ำ ต่ำ สูง มีการแสดงฝีมือในเชิงช่าง ไม่ว่าจะเป็นงานแกะ งานลงรัก ปิดทอง ล่องชาด มวลสารนอกจากเป็นผงที่เห็นแล้วยังมีส่วนผสมของผงตะไบทองคำรวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
เรื่องราวในองค์พระยิ่งน่าสนใจใหญ่ รูปช้างยืนเด่นเป็นสง่า องค์พระประทับนั่งบนอาสนะบัลลังก์ เคียงข้างด้วยพระมหาเศวตฉัตร (ฉัตร 9 ชั้น ) ทั้งสองฝั่ง สัญลักษณ์เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระเจ้าแผ่นดินทั้งสิ้น แนวคิด หรือ คตินิยม แบบพุทธราชา และ เทวราชา มีมาตั้งแต่สมัยขอม ดูอย่างพระเจ้าชัยวรมันนั่นเทียว พระองค์ทรงสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรกที่มีลักษณะงดงามส่งแจกจ่ายไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ ที่เรารู้จักกันในนาม ศิลปะแบบบายน และที่สำคัญ พระพุทธรูปเหล่านี้ทรงให้ช่างหล่อพระเศียรให้มีใบหน้าละม้ายคล้ายพระองค์มากที่สุด เป็นการใช้ศาสนานำการเมืองอย่างน่าทึ่ง คือ เจ้าเมืองไหน หรือ ชาวเมืองใด เข้าไปกราบไหว้พระพุทธรูปเหล่านี้ก็ต้องพบเจอ “ใบหน้า” ของพระองค์อยู่ร่ำไป หรือ อีกนัยหนึ่งเป็นการแสดงความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างสูงสุดประดุจ “พระราชา” เฉกเช่นเดียวกับ องค์พระพุทธรูปที่ประทับนั่งบนอาสนะบัลลังก์ในพระพิมพ์นี้
ส่วนรูปช้างนั่นเล่า ดูราวกับเป็น พญาช้างเผือก ที่มีปรากฏอยู่ในธงช้างบนพื้นแดง อันสยามประเทศ ใช้เป็นธงชาติมาแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นสัญลักษณ์แทน ชาติ หรือ พระราชอาณาจักรสยาม พระมหาเศวตฉัตรทั้งสองก็เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระมหากษัตริย์ผู้ผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี
พระพิมพ์นี้ ผู้สร้างเป็นผู้ใดกันหนอ
ใคร่กันเล่า,,จักกล้าหาญชาญชัยทำพิมพ์พระที่มีเครื่องสูงของพระเจ้าแผ่นดิน และ พระราชอาณาจักรสยาม เป็นสัญลักษณ์
ใครกัน..ที่มีช่างฝีมือดี ทั้งช่างแกะสลัก ช่างลงรัก ปิดทอง ล่องชาด ช่างปูนปั้น ฯลฯ
แล้วใครกัน..ที่จะนำทองคำแท้ๆ...มาตะไบจนเป็นผงแล้วผสมลงในองค์พระได้มากมายอย่างนี้
แล้วคุณหล่ะ คิดว่า พระพิมพ์ “กรุวัดพระแก้ว” ผู้สร้างเป็นใครกัน ?
สวัสดีครับ
ไม่รู้นะว่าใครจะมีหรือไม่มี แต่ที่แน่ๆผมคนนี้นี่แหละที่แขวนสมเด็จวัดพระแก้ว กรุวังหน้า จนทุกวันนี้นี่แหละ @ขอนแก่น ณ จ๊ะ.!!!
ผมมีแต่สมเด็จเนื้อเป็นสีลายคล้ายๆสีชาด(สายรุ้ง) ได้มาจากลุงคนหนึ่ง แกเคยเปิดร้านอาหารที่คนใหญ่คนโตมาต้องแวะอยู่ทางอีสาน คนในพระราชวังให้มา มีผงตะไบทองคำผสมอยู่ด้วยครับ
ผมอยากเห็นพระสมเด็จไกเซอร์หลังครุฑ กรุวัดพระแก้วบ้างว่าเหมือนของผมหรือป่าว ผมไม่แน่ใจที่มาของพระสมเด็จไกเซอร์หลังครุฑ
สวัสดีครับท่านเก๋าสยาม ได้ติดตามผลงานของท่านมาหลายครั้ง หลายบทความแล้วครับ อ่่านแล้วได้ความรู้มากมาย ขอขอบพระคุณท่านที่กรุณาเผยแพร่ อนุรักษ์ และรักษามรดกของชาติไว้อย่างดีเยี่ยม ผมอีกคนหนึ่งที่นิยมสะสมพระเครื่องกรุวัดพระแก้ว ได้มาหลายทิศหลายทาง และมีอยู่องค์หนึ่งครับที่เหมือนกับภาพที่ท่านลงมา “พระสมเด็จทรงหลังช้าง ข้างฉัตร” เสียดายไม่ได้ลงรูปภาพ