จริยธรรมนักการเมืองกับการเมืองเชิงสมานฉันท์ (2)
การเมืองเชิงสมานฉันท์หรือการแบ่งปันผลประโยชน์
คนไทยส่วนใหญ่คิดว่าการเมืองเป็นเรื่องของการทุจริต เป็นเรื่องของการขัดแย้ง เป็นเรื่องของการแย่งชิงอำนาจ นักรัฐศาสตร์ David Easton ให้ความเห็นไว้ว่า “การเมืองเป็นเรื่องการใช้อำนาจจัดสรร สิ่งที่มีคุณค่า(=ผลประโยชน์)ในสังคม”[1] ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม เห็นว่า การเมืองแบบเก่า การเมืองเป็นเรื่องของการขัดแย้ง โต้แย้งและใช้พลังอำนาจทางสังคมในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อเอาชนะคะคาน ช่วงชิงการนำ ช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง การเมืองแบบใหม่ การเมืองเป็นเรื่องของการบริหารจัดการและการตรวจสอบการใช้อำนาจ แต่การเมืองเชิงสมานฉันท์เป็นเรื่องการจัดการเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข การเมืองเป็นการจัดการการใช้อำนาจบริหารจัดการไม่ใช่ต่อสู้แย่งชิง[2]
การเมืองเชิงสมานฉันท์ :ความหมายของคำว่าสมานฉันท์นั้น พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้อธิบายคำ “สมานฉันท์” ไว้ว่า “ความพอใจร่วมกัน ความเห็นพ้องกัน” สำหรับภาษาอังกฤษน่าจะหมายถึงคำว่า “Consolidation” ซึ่งแปลว่า “การรวมตัวเป็นหนึ่ง” หรือ “การสมัครสมานกลมเกลียว” หรือ “การเชื่อมความสามัคคี” แปลโดยรวมว่า ความสามัคคีกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกัน
สำหรับความหมายของการเมืองเชิงสมานฉันท์จึงหมายถึง กิจกรรมทางการเมืองที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตยได้มีส่วนร่วม (Participation) ในกระบวนการทางการเมือง เช่น การเสนอความเห็นหรือจุดยืนทางการเมืองของตน การเลือกผู้แทนเพื่อไปทำหน้าที่แทนตน โดยการเมืองเชิงสมานฉันท์จะลดความตึงเครียดและความขัดแย้งในการแข่งขันเพื่อชิงการนำในจุดยืนหรือความเห็นทางการเมือง ตลอดจนการแข่งขันกันทางการเมืองเพื่อเข้าไปมีอำนาจในการจัดสรรทรัพยากรและแบ่งปันผลประโยชน์ทางการเมือง
การเมืองเชิงสมานฉันท์จะเป็นกลไกป้องกันไม่ให้เกิดการต่อสู้ทางการเมืองโดยใช้กำลังเข้าประหัตประหารแย่งชิงอำนาจทางการเมืองซึ่งกันและกัน และเป็นกลไก ที่สร้างความสามัคคีร่วมมือซึ่งกันและกัน เพื่อความเป็นเอกภาพของชุมชน ผลประโยชน์ส่วนรวมร่วมกันของชุมชน สังคมและประเทศชาติบ้านเมือง
ลักษณะนิสัยประจำชาติของคนไทยประการหนึ่งคือ การยิ้มง่าย มีความรักความสามัคคี อยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศใด ประชาชนมีความเป็นญาติ เป็นพี่เป็นน้อง มีความเกื้อกูล เอื้ออาทร มีความเป็นมิตรต่อกัน บางครั้งการแข่งขันทางการเมือง การมีความเห็นทางการเมืองที่ต่างกันทำให้ประชาชนเปลี่ยนไป ความเป็นญาติ เป็นพี่ เป็นน้องเปลี่ยนไป เมื่อมีการแข่งขันกันมีการเสนอความเห็นทางการเมืองที่รุนแรง ลืมความเป็นญาติ เป็นพี่เป็นน้อง ลืมความเป็นคนในชุมชนเดียวกัน คนทุกคนอาจจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันได้ อาจจะสนับสนุนคนที่แตกต่างกัน แต่ไม่ควรลืมความเป็นพี่เป็นน้อง ความเป็นญาติ ความเป็นเพื่อนความเป็นพี่น้องร่วมชาติกันเมื่อมีการเสนอความเห็นจุดยืนทางการเมืองที่ต่างกัน หรือมีการแข่งขันทางการเมือง ไม่ควรถือทิฐิเพราะต่างมุ่งไปที่ผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ และประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศเหมือนกัน
การเลือกตั้งในแต่ละครั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผู้สนับสนุนผู้สมัคร ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนในชุมชนท้องถิ่น ต่างมีการแข่งขันกันและแบ่งกันเป็นฝักเป็นฝ่าย หลายครั้งขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกัน บางพื้นที่ถึงขั้นทำร้ายร่างกาย ถึงขั้นฆ่าฟันกันซึ่งเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ไม่อยากให้เกิดขึ้นในชุมชนใดๆ ในประเทศไทย เมื่อการเลือกตั้งสิ้นสุดมีการแพ้มีการชนะการเลือกตั้ง ฝ่ายแพ้ก็ไม่ควรต้องรู้สึกเสียหน้า เพราะการแข่งขันทุกครั้งก็มีแพ้มีชนะ ฝ่ายแพ้ก็ไม่ต้องเสียใจโอกาสหน้าก็ยังมีอยู่
สถาบันพัฒนาการเลือกตั้งนานาชาติ (IDEA)[3] มีความเห็นว่าในกระบวนการเลือกตั้งทุก ๆ ขั้นตอนอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือความรุนแรงได้ทั้งสิ้น เนื่องจากผลของการเลือกตั้ง อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนในโครงสร้างอำนาจทางการเมืองของชุมชนท้องถิ่น หรือของประเทศชาติ หรือทำให้การจัดการผลประโยชน์ของกลุ่ม ต่างๆ ที่แข่งขันกันทางการเมือง เปลี่ยนแปลงไป
แนวทางสร้างการเมืองเชิงสมานฉันท์
การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยนั้นเมื่อแข่งขันเสร็จสิ้น ตามหลักการทุกคนต้องมุ่งไปสู่ผลประโยชน์ของชุมชน สังคม และประเทศชาติ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้รักสามัคคี ถ้าทำเช่นนี้ได้ปัญหาความขัดแย้ง หรือความรุนแรงต่างๆ ก็จะสงบระงับลงทันที จากการศึกษากระบวนการสร้างความปรองดองหรือความสมานฉันท์นั้น สถาบันพัฒนาการเลือกตั้งนานาชาติ (IDEA)[4] พบว่ากระบวนการสร้างความสมานฉันท์ เป็นทั้งเป้าหมายและวิธีการ ที่จะทำเป็นเกิดความเที่ยงธรรม ความจริง และการเยียวยาแก้ไขปัญหา โดยเปลี่ยนแปลงชุนหรือสังคมที่แบ่งแยกออกเป็นฝักฝ่ายไปสู่ชุมชนสามัคคีที่ยึดโยงผลประโยชน์ร่วมกันในอนาคต
กระบวนการสร้างความสมานฉันท์จำเป็นต้องใช้เวลาในระยะยาว ต้องแก้ปัญหาทั้งทางลึกและทางกว้าง แต่ความสำเร็จไม่ตายตัวขึ้นอยู่กับสภาพปัญและวิธีการในแต่ละพื้นที่ซึ่งแตกต่างกันไป ไม่มีสูตรสำเร็จ
ขั้นตอนที่หนึ่ง ต้องขจัดความรุนแรงหรือการใช้กำลังโดยใช้กลไกทางสังคมทุกประเภท ทั้งภาคราชการ บ้าน วัด โรงเรียน ภาคเอกชน องค์กรประชาสังคม และนักการเมืองเพื่อประกันความปลอดภัยขั้นพื้นฐานของชุมชนให้ได้
ขั้นตอนที่สอง จะต้องสร้างความเชื่อมั่นและความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันระหว่างผู้แข่งขันทางการเมืองทุกฝ่าย ที่จะไม่ใช้กำลังหรือความรุนแรง สร้าง ความขัดแย้งอีกต่อไป
ขั้นตอนที่สาม จะต้องสร้างความเห็นอกเห็นใจ ความรู้สึกให้อภัยต่อกัน ระหว่างผู้แข่งขัน หรือผู้ที่ต่อสู้กันทางการเมือง ลืมอดีตที่ปวดร้าว เห็นอกเห็นใจและให้อภัยต่อกัน และมุ่งที่จะรับผิดชอบต่ออนาคตของชุมชน ประเทศชาติร่วมกัน โดยมีเงื่อนไขว่าการแก้ไขปัญหาจะยั่งยืนหรือไม่ขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานของกระบวนการยุติธรรม การแข่งขันทางการเมืองและทางเศรษฐกิจที่เป็นธรรม
กลไกและมาตรการบังคับทางกฎหมายในการควบคุมจริยธรรมนักการเมืองเพื่อป้องกันผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวมขัดกัน
๑. การกำหนดคุณสมบัติหรือข้อห้ามของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น ตามมาตรา ๒๖๕ – มาตรา ๒๖๙ ห้ามมิให้ สส. สว. นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี มิให้ รับแทรกแซงหรือก้าวก่ายการรับสัมปทานจากรัฐ ห้ามเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนที่รับสัมปทานหรือเป็นคู่สัญญา
๒. การตั้งกรรมการตรวจสอบประวัติ พฤติกรรมและจริยธรรมของผู้ที่จะดำรง ทางการเมือง หรือตำแหน่งสำคัญ ๆ โดยรวบรวมข้อเท็จจริงและหลักฐานต่าง ๆ การเรียกเอกสารและบุคคลมาให้ข้อเท็จจริง เป็นต้น
๓. การกำหนดข้อห้าม ข้อกำหนดหลังจากการเข้ารับหรือออกจากตำแหน่ง เช่น การให้แสดงรายการบัญชีทรัพย์สิน หนี้สิน เปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อเฝ้าระวังมิให้เกิดการกระทำที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวมขัดกัน ต้องปัดกวาดบ้านตัวเองให้สะอาด ก่อนที่จะไปทำหน้าที่สำคัญเพื่อชาติบ้านเมือง ซึ่งมีการกำหนดไว้ในมาตรา ๒๖๑ ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนี้
“มาตรา ๒๖๑ บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาให้เปิดเผยให้สาธารณชนทราบโดยเร็วแต่ต้องไม่เกินสามสิบวัน นับแต่วันที่ครบกำหนดต้องยื่นบัญชีดังกล่าว บัญชีของผู้ดำรงตำแหน่งอื่นจะเปิดเผยได้ต่อเมื่อการเปิดเผยดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาพิพากษาคดีหรือการวินิจฉัยชี้ขาดและได้รับ การร้องขอจากศาลหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือคณะกรรมการตรวจเงินแผ่น ดิน
ให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินดังกล่าวโดยเร็ว”
๔. มาตรการการลงโทษทางกฎหมายและทางวินัย เช่น การปรับ การจำคุก การพ้นสภาพจากตำแหน่ง การห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง ๕ ปี การพักงาน การไล่ออก เป็นต้น
๕. มาตรการลงโทษทางสังคม
[1] Easton, David, The Political System: An Inquiry into the State of Political Science, New York: Knopf, 1955, p.129
[2] ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรมม, การเมืองสมานฉันท์ http://www.thaingo.org/man_ngo/paiboon.htm.
[3] http://www.idea.int/conflict/
[4] Reconciliation After Violence Conflict ,Policy Summary เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ สรุปจากhttp://www.idea.int/publications/reconciliation/upload/policy_summary.pdf
ไม่มีความเห็น