อ่านมาก ฉลาดมากจริงๆ


อ่านมากฉลาดเฉลียว

อ่านมากทั้งฉลาดและเฉลียว

โบราณว่า  ....อันความรู้ รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล
              ....รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
              ....มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร  ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี
              ....ปัญญา ว  ธ เนน  เสยโย  ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์

บรรพชนคนเก่าคนแก่ รู้แท้รู้จริงเพราะมีประสบการณ์ เรียนรู้ และอ่านหนังสือมามาก เรียกว่าอาบน้ำร้อนมาก่อน  จึงได้เสนอไว้เพื่อเป็นประโยชน์เป็นอุทาหรณ์ให้ลูกหลานคนรุ่นหลังรับรู้และลอกเลียน   ประสบการณ์ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมาจากการอ่าน เรียนรู้ รับรู้จากชีวิต จากการงาน และธรรมชาติสิ่งแวดล้อมตลอดอายุไขที่ดำรงอยู่  จึงเป็นตำราเล่มเล็กเล่มใหญ่ให้ลูกหลานไดเรียนรู้ต่อมา

แต่อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งในโลกล้วนเปลี่ยนแปลง พัฒนาไม่หยุดนิ่ง มีสิ่งใหม่ นวัตตกรรมใหม่หลาหลายพรั่งพรู  ดังนั้นคนไม่อ่าน ไม่เรียนและไม่รับรู้ จึงล้าสมัยและก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า    ตั้งแต่คนในครอบครัว ชุมชน และประชาชาติ  ถ้าขาดซึ่งการอ่าน การรับรู้ที่เท่าทัน  ประเทศชาติก็จะล้าหลัง

จากความสำคัญของการอ่าน (อ่านหนังสือ) ดังกล่าวแล้วกระผมมีตัวอย่างจากประชาชนคนประเทศเล็กๆ ที่ประชาชนรักการอ่าน  ประเทศชาติจึงเจริญทุกๆด้าน  อยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ทั้งที่ทรัพยากรธรรมชาติสู้ประเทศเราไม่ได้เลย

เพื่อประโยชน์ร่วมกันกระผมจึงขอนำข้อมูลจากประเทศนี้มาให้อ่าน  ..เข้าหลักที่ว่า มีอะไรก็ขอบอกต่อ ...นะครับ

สิงคโปร์’อ่านหนังสือปีละ50เล่ม คนไทยอ่านเป็นบรรทัด














นาง เกียงโก๊ะไล ลิน



“สิงคโปร์” ประเทศเพื่อนบ้านและหนึ่งในสมาชิกประชาคมอาเซียนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีสถิติการอ่านค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับไทย โดยมีสถิติการอ่านหนังสือปีละ 40-50 เล่มต่อคน ขณะที่คนไทยยังให้ความสำคัญกับการอ่านน้อยมาก

นอกจากนี้ ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์  ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากนักเหมือนประเทศอื่น แต่กลับมีฐานะทางเศรษฐกิจดีและประเทศพัฒนาอย่างรวดเร็ว  ที่สำคัญคือ ความมีระเบียบวินัยของคนในประเทศ ซึ่งเป็นผลจากนโยบายหนึ่งในการพัฒนาประชาชนให้มีคุณภาพและพัฒนาสังคมให้น่าอยู่ คือ “นโยบายส่งเสริมการอ่าน” 

 

 

 

 

 นาง เกียง-โก๊ะ ไล ลิน ผู้อำนวยการโครงการริเริ่มด้านการอ่าน คณะกรรมการห้องสมุดแห่งชาติสิงคโปร์ (Singapore National Library Board) คือ ผู้หนึ่งที่มีส่วนผลักดันและสนับสนุนนโยบายส่งเสริมการอ่านของสิงคโปร์  และในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการทำงานส่งเสริมการอ่านมายาวนานกว่า 35 ปี 


เธอยังได้นำประสบการณ์มาผลักดันให้เกิดโครงการใหม่ๆ เพื่อปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้กับประชาชนในสิงคโปร์มากมาย อีกทั้งส่งเสริมให้มีการอ่านหนังสือทั้ง 4 ภาษา ได้แก่ จีน , อังกฤษ , มาเลเซีย และทมิฬ  ซึ่งไม่เพียงแต่เชิญชวนให้คนสิงคโปร์อ่านหนังสือแล้ว  ยังส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีการแบ่งปันประสบการณ์การอ่านอีกด้วย


นาง เกียง-โก๊ะ ไล ลิน กล่าวว่า รัฐบาลของประเทศสิงคโปร์ ให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมการอ่าน โดยมีคณะกรรมการหอสมุดแห่งชาติสิงคโปร์เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำนโยบายส่งเสริมการอ่าน ซึ่งนอกจากห้องสมุด เทคโนโลยีสารสนเทศ และการบริการที่สะดวกแล้ว  ต้องไม่ลืมว่าหัวใจหลัก  คือ  “การสอนให้ประชาชนรักการอ่าน”   รู้จักวิธีการเลือกหนังสือ  เพื่อส่งเสริมความรู้และการพัฒนาตัวเอง


โครงการส่งเสริมการอ่านของประเทศสิงคโปร์นั้น มีหลากหลาย เน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัย อย่างกว้างขวาง  โดยมีโครงการที่น่าสนใจและเป็นตัวอย่างที่ด

อาทิ National  Kids Read Program เป็นโครงการที่เปิดรับสมัครอาสาสมัครเพื่ออ่านหนังสือ เล่านิทานให้เด็กๆ ในชุมชน , โรงเรียนอนุบาล , ประถม และมัธยมศึกษา  โดยเน้นให้เด็กได้มีส่วนร่วม สนุกสนานกับเรื่องเล่า เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษในเรื่องเล่า และได้ข้อคิดดีๆ จากเรื่องเล่าหรือนิทานที่ฟัง เพราะเมื่อเด็กสนุกก็จะทำให้พวกเขาอยากที่จะเปิดหนังสืออ่าน และมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือว่าไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ  ซึ่งเด็กๆ ยังได้รับความรู้ใหม่ๆ ที่จะนำไปใช้ในด้านการเรียนและใช้ในชีวิตประจำวันได้


โครงการ 10,000 & More Father Reading เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่ได้รับการตอบรับอย่างดีในสิงคโปร์  เป็นกิจกรรมที่สนับสนุนให้พ่อจากทุกอาชีพอ่านหนังสือให้ลูกฟัง หรืออ่านหนังสือกับลูกๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความผูกพันระหว่างพ่อกับลูกผ่านการอ่านหนังสือ กิจกรรมนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2550  มีผู้เข้าร่วมและได้ประโยชน์กว่า  60,000 คน  และยังมีกิจกรรมต่อเนื่องคือ “Read a story with my Dad” เป็นการแข่งขันวิจารณ์หนังสือ โดยมีโรงเรียนอนุบาล และ


ศูนย์ดูแลเด็กเข้าร่วม โดยห้องสมุดแห่งชาติจะมีการ์ดแจกให้เด็กๆ จากนั้นให้เด็กๆ นำกลับไปที่บ้านให้พ่ออ่านให้ฟัง เมื่ออ่านเสร็จแล้วก็ส่งการ์ดกลับมาที่ห้องสมุดแห่งชาติ เพื่อเลือกการ์ดและให้รางวัล ผู้ที่ได้รับคัดเลือกก็จะมาที่ห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือและทำกิจกรรมร่วมกัน จากนั้นบรรดาคุณพ่อจะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และประสบการณ์การอ่านหนังสือให้ลูกๆ ฟัง และจัดทำหนังสือเพื่อเผยแพร่ต่อไป

นาง เกียง-โก๊ะ ไล ลิน กล่าวว่า อีกโครงการที่สำคัญในการส่งเสริมการอ่านของประเทศสิงคโปร์ คือ “Read! Singapore” หรือ โครงการ “มาอ่านหนังสือกันเถอะ!” เป็นโครงการรณรงค์การอ่านทั่วประเทศ เพื่อมุ่งปลูกฝังการรักการอ่านในชุมชนทั่วประเทศ เสริมความผูกผันของคนในชุมชน และจุดประกายจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ให้กับคนสิงคโปร์  ริเริ่มโดยคณะกรรมหอสมุดแห่งชาติสิงคโปร์ โดยทำงานร่วมกับภาครีกว่า 100 แห่ง มีการจัดการอภิปรายและกิจกรรมการอ่านมากกว่า 16,000 ครั้ง กิจกรรมนี้จะมีการจัดขึ้นนาน 12-14 สัปดาห์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมของทุกปี ที่ผ่านมามีผู้ร่วมโครงการแล้วกว่า 160,000 คนภายในปี 2553

“การอ่าน..เป็นนิสัยที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะสติปัญญา แม้ในโลกปัจจุบันผู้คนนิยมใช้อินเตอร์เน็ตมากขึ้น แต่ก็ยังมีกลุ่มคนรักการอ่านหนังสือผุดขึ้นมากมายทั่วโลก อย่างโครงการ “หนึ่งเล่มหนึ่งเมือง” ของสหรัฐอเมริกาขณะที่เรามีโครงการ“มาอ่านหนังสือกันเถอะ!สิงคโปร์”  ซึ่งโครงการนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะสามารถดึงกลุ่มเป้าหมายจากหลากหลายอาชีพมาจัดตั้งชมรมการอ่านเฉพาะกลุ่มขึ้น เช่น กลุ่มคนขับรถแท็กซี่  ครู  ช่างทำผม เจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพ พนักงานโรงแรมและบริการ กลุ่มผู้สูงอายุ เยาวชน ประชาชนทั่วไป หัวหน้าองค์กรรากหญ้า รวมถึงเจ้าหน้าที่พลเรือน  และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ปัจจุบันมีชมรมการอ่านเฉพาะกลุ่มขึ้นมากกว่า 90 แห่ง

เราดีใจที่เห็นคนทุกกลุ่มหันมาสนใจการอ่าน และพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จก็มีการไปอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำอีก เพราะประเด็นที่พูดคุยกันมีหลากหลาย น่าสนใจ ทำให้เราสนใจและกลับไปอ่านหนังสือเล่มนั้นเพิ่มเติม ที่สำคัญคือ เราเห็นว่าคนที่มาทำกิจกรรมร่วมกันมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นอกจากจะส่งเสริมการอ่านแล้ว ยังเป็นการสร้างความสามัคคีของคนในชาติ ส่งเสริมความสัมพันธ์ของคนแต่ละกลุ่ม แต่ละชุมชนอีกด้วย ”  นาง เกียง-โก๊ะ ไล ลิน กล่าว

ผู้อำนวยการโครงการริเริ่มด้านการอ่าน กล่าวย้ำว่า “ การส่งเสริมให้ประชาชนทุกวัยทุกอาชีพหันมาสนใจการอ่านหนังสือ ไม่ใช่แค่การให้ประชาชนมาอ่านหนังสือแล้วจบไป แต่เมื่ออ่านหนังสือเสร็จแล้ว ยังมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่หลากหลายจากหนังสือที่อ่านเรื่องเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อมุ่งพัฒนาให้คนสิงคโปร์มีทักษะการคิดแบบวิพากษ์วิจารณ์  มีความคิดสร้างสรรค์ และกล้าแสดงออก  ถือเป็นการสร้างวัฒนธรรมการอ่านขึ้นในชุมชนทั่วประเทศ”

จากก้าวเล็กๆ สู่การก้าวย่างที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมั่นคง  ทั้งคุณภาพคนและสังคมที่ดี ตัวอย่างจากประสบการณ์การส่งเสริมการอ่านของประเทศเพื่อนบ้านประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ จะเห็นได้ชัดว่า “เริ่มจากการอ่าน” แต่การจะส่งเสริมให้คนหันมาสนใจการอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ได้นั้น ต้องอาศัยความรู้และความร่วมมือจากหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล เอกชน และคนในประเทศที่จะช่วยกันขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการอ่านให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพของคน และสังคมให้น่าอยู่ต่อไป

 อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่สนใจจะร่วมเปิดพรมแดนความรู้ และสำรวจประสบการณ์ส่งเสริมการอ่านของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนอื่นๆ เพิ่มเติม ในโอกาสที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียน ภายในปี พ.ศ.2558  สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (สอร.) สังกัดสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ขอเชิญร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาการอ่านระดับชาตินี้ได้ ในงานประชุมวิชาการประจำปี 2554 “Thailand Conference on Reading หรือ TCR 2011” ระหว่างวันที่ 24– 25 สิงหาคม 2554 ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมงานได้ที่เว็บไซต์ www.tcr2011.com ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

 

(จาก อุทยานการเรียนรู้ TK park)

 

คำสำคัญ (Tags): #อ่านมาก
หมายเลขบันทึก: 450434เขียนเมื่อ 22 กรกฎาคม 2011 18:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ผมเชื่อเช่นนั้นเหมือนกันครับ

ว่ายิ่งอ่านยิ่งเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น

การอ่านถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งของการศึกษา และการศึกษาก็เป็นรากฐานของชีวิต

มันเป็นนิสัยส่วนตัว

คนชอบอ่าน ก็อ่านอยู่นั่นแหละ

และก็รู้เรื่อง รู้ภาษา อยู่คนเดียวอีกนั่นแหละ

คนไม่อ่าน ก็ไม่รู้เรื่อง คิดเอง ตัดสินใจเอง แบบผิดผิด ค่อนข้างจะเสมอๆ ชิมิชิมิ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท