เล่าสู่กันฟัง
“เติมพลัง ไปสร้างสุข” รุ่น 2
“ความสุข” เป็นสุดยอดปราถนาของทุกคนบนโลกใบนี้ แม้ว่าการนิยาม และการให้ความหมายกับความสุขแตกต่างกันออกไป จนบางครั้งผมอดคิดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่า ความสุขมันเป็นอย่างไร? มันมีรสหวานหรือกลมกล่อม กระทั่งอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นกับดักที่คอยลอกล่อคนอยู่ก็ได้ โดยส่วนตัวผมแล้วเหมือนจะรู้จักกับคำนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้จักมันอย่างถ่องแท้ เปรียบดังเพื่อนๆ สนิทที่ดูเหมือนว่าเรารู้จักเขาเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายก็ต้องตั้งคำถามว่า”เขาเป็นอย่างไร?” แม้กระทั่งตัวเราเองก็ยังไม่รู้จักในแง่มุมต่างๆ เฉกเช่นกัน
“เวทีเติมพลังเพื่อสร้างสุข” เมื่อวันที่ 9 -10 มิถุนายน 2554 เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ทำให้ผมได้เข้าไปเรียนรู้และค้นหา ทำความรู้จักกับแง่มุมความสุขผ่านประสบการณ์ของภาคีเครือข่าย สสส.ซึ่งเป็นเครือข่ายนำการสร้างสุขสู่ประชาชนทั่วไป แม้ว่างานครั้งนี้จะมีภาคีร่วมไม่มากนัก ด้วยเหตุผลประการใดไม่ทราบ กระทั่งคุณหมอบัญชา พงษ์พานิช ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ถึงกับเอ่ยปากว่า เครือข่าย สสส.ที่เข้าร่วมครั้งนี้มีจำนวนน้อยมาก จนต้องเปิดรับคนทั่วไปที่สนใจเข้าร่วม ก่อนที่จะถึงวันอบรมนั้น ทางผู้จัดได้ส่งเอกสารมาให้เป็นจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบ vcd หนังสือ และเอกสาร พอมาลงทะเบียนวันงานก็รับไปอีกชุดใหญ่ หอบกลับบ้านแทบไม่ไหว ผมยอมรับว่าไม่ได้เปิดอ่านจริงๆ จังๆ กับเอกสารเหล่านั้น เพียงเปิดผ่านและหยุดอ่านบางหัวข้อที่สนใจเท่านั้น นอกจากเอกสารที่กล่าวมาแล้วยังมีกระดาษแผ่นหนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมอบรมกรอกข้อมูลก่อน ซึ่งจะถามถึงทัศนคติต่อความสุขของแต่ละคน เช่น ความสุขของคุณคืออะไร? ตอนนี้คุณมีความสุขในระดับไหน? (ซึ่งมีให้เลือกหลายระดับ) และหากจะทำให้คุณมีความสุขมากกว่านี้ควรทำอย่างไร? แบบสอบถามนี้ผมคิดว่าเป็นอะไรที่ตอบยากเหมือนกันครับ จำได้ว่ากว่าจะตอบได้ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เพราะมันเป็นอะไรที่เราไม่เคยคิดมาก่อน สิ่งเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นการปูพื้นฐานให้คนเข้าร่วมได้เตรียมความคิด และไตร่ตรองกับเรื่องเหล่านี้ก่อนการอบรม
กระบวนการเรียนรู้ในเวที เป็นลักษณะตั้งวงสนทนา ผ่านประสบการณ์ของแต่ละคนที่ทำงาน ซึ่งผู้จัดจะเปิดสื่อเสียงที่แผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต (ถามชีวิต) แล้วให้ล้อมวงคุยกันเป็นวงย่อย ประมาณ 4- 5 คนต่อกลุ่ม และให้เวลาแต่ละกลุ่มอย่างเพียงพอ อาจจะออกแนวสุนทรียสนทนาด้วยซ้ำ
“ควมสุขคือ การที่ได้ทำงานตรงหน้าเสร็จเรียบร้อย”
“ควมสุข คือ การที่ได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ทำให้จิตเป็นสมาธิ”
“ความสุขคือ ได้ทำอะไรตามใจปราถนา”
“ความสุขคือ ความเป็นที่อิสระปราศจากปัจจัยเงื่อไขกดทับ
“ความสุขคือ...........................
เป็นก้อนความคิดที่แต่ละคนนำมาวางตรงกลาง ซึ่งบางความคิดก็อาจจะวนเวียน คล้ายกันบ้างเหมือนกันบ้าง (แต่ใช้คนละภาษา) แม้ว่าจะแตกต่างกันอย่างไรก็ตามทุกคนล้วนอยากมีความสุข ความสุขที่เราคุยกันนั้นมีอยู่หลายระดับ ระดับต้นเราเรียกว่าความสุขแบบหยาบ เป็นความสุขที่อาศัยปัจจัยภายนอก เช่น การที่เราจะมีความสุขได้เราต้องเห็นคนที่เรารักมีคสวามสุข เรามีความสุขเมื่อเราได้รับการยกย่องจากบุคคลอื่นๆ ความสุขแบบที่สองเราเรียกว่าเป็นความสุขแบบละเอียด ความสุขแบบละเอียด เป็นความสุขที่ไม่พึ่งปัจจัยภายนอก เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากตัวเราเอง เช่น การคิดบวก สุขจากความสงบ สุขจากการได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ซึ่งการพูดคุยในวงเรามีข้อสรุปบางอย่างที่น่าสนใจก็คือ แม้ว่าแต่ละคนจะมีความสุขในแบบหยาบหรือละเอียดก็ตาม แต่ความสุขเหล่านี้ จะต้องไม่เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ต่อไป เช่น ความสุขที่เราได้มาจะต้องไม่ไปทำให้คนอื่นมีควาทุกข์ หรือการไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น หรือ การไปกู้ยืมเงินมาเพื่อสนองความต้องการของตนเอง (อันนี้พูดถึงความสุขแบบหยาบ) ส่วนความสุขแบบละเอียดถือว่าเป็นความสุขอีกระดับหนึ่งที่ไม่พึ่งปัจจัยภายนอก เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากปัจจัยภายใน เป็นความสุขที่จะต้องมีกระบวนการฝึกและทำอย่างเสมำเสมอ โดยอาศัยสติเป็นตัวกำกับ ความสุขในระดับนี้ เป็นสิ่งที่พวกเรา (ในกลุ่ม) ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า “เป็นความสุขที่เรายังไปไม่ถึง” และนี้คือเป้าหมายที่เราจะตั้งเอาไว้ในการฝึกดำเนินชีวิตปัจจุบัน ไม่เช่นนั้นคงหาความสุขได้ยาก เพาะเราเห็นตรงกันว่าความสุขที่อาศัยปัจจัยจากภายนอกเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยื่น มินำซ้ำอาจจะเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาอีกก็ได้ นอกจากการแลกเปลี่ยนในระดับกลุ่มแล้วกิจกรรมอย่างหนึ่งที่สำคัญในช่วงเย็นของวันแรกก็คือ ทำวัตรเย็น (การสวดมนต์) ซึ่งเป็นอีกช่วงหนึ่งที่จะทำให้ผู้เข้ารับการอบรมได้เข้าใจความหมายของการสวดมนต์ และมีจิตเป็นสมาธิ โดยเป็นการทำวัตรแปล ซึ่งทำให้ผู้สวดมนต์ได้เข้าใจความหมายและเข้าถึงแก่นธรรมมากขึ้น โดยส่วนตัวผมแล้วมีความรู้สึกเบา สบาย ไม่มีเรื่องให้ครุ่นคิด หายใจตามจังหวะการสวด สัมผัสกับความสุขชั่วขณะ จนรู้สึกอยากจะกลับมาสวดมนต์ที่นี้ทุกวัน ทำให้ย้อนถึงเมื่อครั้งยังครองเพศเป็นบรรพชิต ภาพในความทรงจำย้อนกลับมาทำให้เตือนสติตัวเองได้ว่า “เราไม่ได้เกิดมาเพื่อ ดื่ม กิน เสพ แต่เราเกิดมาเพื่อพัฒนายกระดับจิตใจ และสติปัญญา ทำให้จิตมีคุณภาพ” เมื่อผมระลึกได้ดังนี้ ทำให้ตัวเองตั้งเป้าหมายในชีวิตชัดเจนมากขึ้น ลดความฟุ้งซ่านที่มีอยู่เดิม และทำให้ผมรู้สึกว่าสถานที่นี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นที่พักผ่อนทางจิตวิญญาณสำหรับคนที่อ่อนหล้า เพรี่ยพร้ำจากแรงกระแทกของโลก ผมจำได้ว่าคุณหมอท่านหนึ่งที่เคารพนับถือพูดว่า “ทุกคนอาจจะต้องผ่านช่วงหนึ่งที่ต้องหันหน้าเข้าศาสนา อาจจะช้าหรือเร็วก็แล้วแต่บุคคล” ทำให้ผมรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้อาจจะเป็นที่รองรับสำหรับกลุ่มคนที่เข้ามาใส่ใจเรื่องนี้ในปัจจุบันและอนาคตก็ได้
ไฮไลด์ของการอบรมครั้งนี้ อยู่ที่การเชิญบุคคลผู้ผ่านการปฏิบัติ ประสบการณ์ชีวิตอย่างโชกโชนมาแลกเปลี่ยนในเวที ครั้งที่ 1 ได้แก่อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ครั้งที่ 2 (ครั้งนี้) อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ผู้แสวงหาความหมายและคุณค่าของชีวิต เดินทางจากเชียงใหม่ไปเกาะสมุย โดยไม่พกเงินติดตัวซักบาท แม้ว่าทุกวันนี้อาจารย์จะลาออกจากการเป็นอาจารย์ในหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้วก็ตาม แต่ความเป็นครูท่านไม่สามารถลาออกได้ตลอดชีวิต ท่านได้เอ่ยปากบอกกัลยาณมิตรที่รู้จักมักคุ้นว่าหากใครต้องการให้ร่วมแลกเปลี่ยนท่านยินดีโดยไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ ในการสนทนาช่วงเย็นวันนั้นผมเองค่อนข้างที่จะถามบ่อยกว่าเพื่อนจนคุณหมอบัญชาแซวว่า ผมเป็นลูกศิษย์ อาจารย์ประมวล แต่ผมเองก็ได้คำตอบที่ทำให้เข้าใจมากขึ้น เมื่อมาพบบัญฑิตจึงไม่รีรอที่จะขอความรู้ ผมได้อ่านหนังสื่ออาจารย์ประมวลเขียน เรื่อง “เดินสู่อิสระภาพ” เล่มแรก (ปัจจุบันพิมพ์ครั้งที่ 12) ความหนา 504 หน้า ตอนนั้นหน้าปกสีฟ้าอ่อน ดังนั้น ผมจึงมีข้อมูลเพียงพอที่จะถามอาจารย์ในเชิงลึกมากขึ้น และมีหลายคำถามมาก (หากอยู่เพียงลำพังผมคงจะถามมากกว่านี้) คำตอบของอาจารย์เรื่องหนึ่งที่กระแทกใจมาก คือ เรื่องการไม่พกเงินติดตัวระหว่างการเดินทาง อาจารย์ให้คำตอบว่า เงินเป็นเครื่องหมายที่ทำให้คนรู้สึกมั่นใจ อบอุ่น และปลอดภัย และหากไม่มีเงินทุกคนจะกลัวกันมาก กลัวอด กลัวตาย แต่อาจารย์พิสูจน์(ให้ตัวเองรู้ว่า) ว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งมายา แต่สิ่งที่ทำให้มั่นคงคือจิตใจ อาจารย์ต้องการกระเทาะเปลือกที่ห่อหุ้มจิตใจให้เข้าถึงแก่น ผมจำได้ว่าตอนนั้นเมื่ออ่านจบและวางหนังสือลง ผมรู้สึกว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ (คิดอย่างนั้นจริงๆ) และหลังจากนั้นเพื่อนฝูงก็จะเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของผมเป็นระยะๆ และอะไรที่ผมรู้สึกว่า กลัวผมก็จะรีบพุ่งชนอย่างไม่ลังเล แม้กระทั้งการทำอะไรที่เสี่ยงๆ ทำให้ผมก้าวพ้นจากความกลัวไปได้ แต่ 3- 4 ปีมานี้ กำลังความคิดมันเริ่มอ่อนหล้า ความอาจหาญทางวิชาการลดลง จนครั้งนี้ที่เข้ารับการกระตุ้นอีกครั้ง และผมเองเริ่มตั้งเข็มทิศ และสัญญาว่าจะเข้มงวดกับตัวเองให้มาก
วันสุดท้ายของการอบรม ผู้จัดกระบวนการอบรมได้นิมนต์พระอาจารย์จ่อย วัดสวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฏร์ธานี มาให้ข้อคิดและให้ผู้เข้าอบรมได้ซักถามเกี่ยวกับชีวิต ความดี ความงาม พร้อมนำพาฝึกสติ ระดมกลุ่มย่อย และท้ายสุดท่านได้นำพาเดินเข้าไปสู่ห้องชิมลางนิพพาน พร้อมกับให้ทุกคนปล่อยวางความรู้สึกบางอย่าง ให้อยู่กับปัจจุบันขณะ.....
ไม่มีความเห็น