มาจุดประกายความคิดเรื่อง “การกระจายภาวะผู้นำ (Distributed Leadership)” กันเถอะ
ในยุคปัจจุบัน นักวิจัยและผู้รับผิดชอบต่อการกำหนดนโยบายทางการศึกษา ส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องตรงกันว่า แนวคิดเดิมที่เชื่อว่า ผู้นำองค์กรต้องเป็นผู้ที่เก่งกล้าสามารถโดดเด่นเหนือคนอื่นอยู่คนเดียวหรือที่เรียกกันว่า Heroic leader นั้น กลายเป็นแนวคิดที่ล้าสมัย ทั้งนี้เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากมาย ทำให้ภารกิจที่ต้องบริหารจัดการและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโรงเรียนให้เหมาะสมกับยุคนี้เต็มไปด้วยความสลับซับเพิ่มเป็นทวีคูณตามไปด้วย จนเกินกำลังความสามารถของผู้นำเพียงคนเดียวที่จะรับมือได้ ดังนั้นจึงมีความเชื่อค่อนข้างกว้างขวางว่า ถึงเวลาแล้วที่จำเป็นต้องมี การกระจายภาวะผู้นำ (Distributed Leadership) จากอาจารย์ใหญ่ที่เป็นผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียวให้กระจายภาวะผู้นำไปยังผู้รับผิดชอบระดับรองๆ ตลอดถึงครูทุกคนของโรงเรียน เพื่อให้บุคคลเหล่านี้ได้มีโอกาสใช้ศักยภาพและความเป็นผู้นำของตนร่วมกันขับเคลื่อนโรงเรียนไปสู่ความสำเร็จได้รวดเร็วและดียิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการสร้างพลังเพิ่มพิเศษ หรือ Synergy ให้แก่โรงเรียนโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจในหลักการและความหมายของคำว่า การกระจายภาวะผู้นำ หรือ Distributed Leadership ในทัศนะบุคคลต่างๆยังค่อนข้างหลากหลาย ขาดความชัดเจน ตลอดจนยังเป็นเรื่องใหม่ที่มีผลงานวิจัยอยู่ในวงจำกัด และมักเป็นคำอธิบายกว้างๆ เช่น
James Spillane (2006). กล่าวว่า การกระจายภาวะผู้นำ หรือ Distributed Leadership มีความหมายกว้างกว่าคำว่า ภาวะผู้นำร่วม (Shared Leadership) แต่เป็นวิวัฒนาการของแนวคิดที่เกี่ยวกับภาวะผู้นำ ซึ่งเปลี่ยนไปจากการให้ความสำคัญต่อผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียว ไปสู่ภาวะผู้นำที่กระจายไปยังบุคคลอื่นทั่วทั้งองค์การ ในลักษณะที่มีความสัมพันธ์ต่อกันแบบโครงข่ายใยแมงมุมของภาวะผู้นำ (Web of Leadership)
Riley (2000). ให้ทัศนะว่า การกระจายภาวะผู้นำ หรือ Distributed Leadership เป็นเครือข่ายของความสัมพันธ์ (Network of relation) ระหว่าง คน โครงสร้าง และวัฒนธรรม มากกว่าที่จะเป็นภาวะผู้นำของบุคคลเดียวที่เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน
Fullan (2001). เชื่อว่า ผู้นำที่ดีต้องสร้างผู้นำที่ดีให้เกิดขึ้นในทุกระดับขององค์การ จึงเป็นหน้าที่สำคัญของผู้นำสถานศึกษา ที่จะต้องเตรียมผู้นำรุ่นต่อไป (Next generation) ไว้รองรับความต้องการของโรงเรียนในอนาคต โดยแนวคิดการกระจายภาวะผู้นำ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งในกระบวนการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ให้แก่สถานศึกษา
Raelin (2004). กล่าวว่า การกระจายภาวะผู้นำ หมายถึงสถานะการณ์หรือบริบทขององค์การที่มีผู้นำหลายคน (Multiple leaders) ที่ต่างหมุนเวียนเข้ามารับบทบาทความเป็นผู้นำ ในส่วนงานที่ตนถนัดหรือมีความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแนวคิดเหมาะสมกับการทำงานเป็นทีมแบบ ทีมงานที่บริหารจัดการเบ็ดเสร็จในตนเอง หรือ Self-Managed Team, (SMT).
Wheatley, (1999:24). ให้ทัศนะว่า แนวคิดที่ดีที่สุดเมื่อพูดถึงภาวะผู้นำ ก็คือควรมองในแง่พฤติกรรม (Behavior) มากกว่าด้านบทบาท (Role)หรือตำแหน่ง (Position)ของบุคคลที่ลดหลั่นตามลำดับในโครงสร้างแบบเก่าขององค์การ และไม่มีบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่คาดหวังว่าต้องแสดงภาวะผู้นำได้ดีในทุกสถานการณ์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ภาวะผู้นำมิใช่เป็นเรื่องของบุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางทั่วทั้งองค์การ โดย Morrison (2001a) กล่าวเพิ่มเติมว่า การกระจายของภาวะผู้นำดังกล่าว ทำให้บางครั้งบทบาทของผู้นำอาจทับซ้อนกัน หรืออาจเสริมต่อกัน และสามารถเลื่อนไหลจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้ตลอดเวลา
ดังนั้น ภายใต้ความเชื่อที่หลากหลายดังกล่าว ทำให้เกิดรูปแบบของการเป็นผู้นำที่กระจายภาวะผู้นำออกมาหลายรูปแบบ เช่น ถ้าตีความอย่างแบบง่ายๆ ก็จะพบพฤติกรรมการกระจายภาวะผู้นำของอาจารย์ใหญ่ ที่มีการมอบหมายงานที่เป็นภาระรับผิดชอบโดยตรงบางด้านของตนให้แก่ครูหรือบุคลากรคนอื่นของโรงเรียน กล่าวคือ อาจารย์ใหญ่อาจมอบงานด้านธุรการให้ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่รับผิดชอบแทน ดังจะพบเห็นได้ในโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีปริมาณงานและโครงสร้างซับซ้อน มักมีการแต่งตั้ง “อาจารย์ใหญ่ย่อยๆ (Sub-principals)” ขึ้นเป็นผู้นำรับผิดชอบในแต่ละช่วงชั้นการศึกษาของโรงเรียน หรืออาจารย์ใหญ่อาจมอบหมายงานด้านกิจกรรมเสริมหลักสูตรให้บุคคลต่างๆหมุนเวียนเปลี่ยนเข้ามารับผิดชอบ เป็นต้น
จากความเชื่อที่ว่า ใครก็ตามล้วนมีภาวะผู้นำอยู่แล้วในตัวเองและสามารถที่จะพัฒนาความเป็นผู้นำของตนได้มากยิ่งขึ้นถ้าได้รับโอกาสที่เอื้ออำนวย ด้วยเหตุนี้แนวคิดเรื่อง การกระจายภาวะผู้นำ หรือ
Distributed Leadership จึงมักนำมาใช้ในโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน โดยผู้นำสถานศึกษามักจะใช้วิธีการกระจายงานและกระจายภาวะผู้นำออกไปยังบุคคลที่ตนไว้วางใจและเชื่อในความรู้ความสามารถในด้านนั้นๆให้รับผิดชอบแทนตน จึงเกิดมีผู้นำต่างๆเกิดขึ้นตามมา เช่น ผู้นำวางแผนและพัฒนาหลักสูตร ผู้นำบริหารงานธุระการทั่วไป ผู้นำจัดตารางสอนตารางเรียน ผู้นำด้านพัฒนาวิธีสอน ผู้นำด้านการจัดทรัพยากรสนับสนุนการเรียนรู้ ผู้นำด้านเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ IT ผู้นำด้านชุมชนสัมพันธ์
ผู้นำเฉพาะแต่ละกลุ่มสาระวิชา และผู้นำด้านการวัดและประเมินผลการเรียน เป็นต้น โดยผู้นำย่อยเหล่านี้
จะสร้างทีมงานแบบ Self-Managed Teamsของตนขึ้นมารองรับ ส่วนผู้นำสถานศึกษาก็จะทำหน้าที่ประสานงานเชื่อมโยงทีมงานเหล่านี้เข้าด้วยกันอีกทอดหนึ่ง
แม้ว่า หลักการของการกระจายภาวะผู้นำ จะปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่เกี่ยวกับองค์การโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นนิยามของคำว่า ภาวะผู้นำที่ถือว่า เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของครูทุกคนในโรงเรียนก็ตามแต่มิได้หมายความว่าเป็นการลดความสำคัญของบทบาทผู้นำสถานศึกษาหรืออาจารย์ใหญ่แต่ประการใด เป็นแต่เพียงปรับเปลี่ยนบทบาทใหม่ให้สอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าว ผู้นำสถานศึกษาจะไม่ใช่เป็น “ผู้ทำงานหลัก หรือ Chief doer” อีกต่อไป หากแต่ทำหน้าที่เป็น “สถาปนิกด้านภาวะผู้นำขององค์การ (Architect of organizational leadership)” โดยอยู่ในฐานะเป็น “ผู้นำของบรรดาผู้นำ หรือ
Leader of Leaders” ของโรงเรียนอีกต่อหนึ่ง ที่มีหน้าที่หลักคือ การประสานงานและช่วยทักทอให้ทีมงานของบรรดาผู้นำย่อยเหล่านั้นให้เข้ามาเชื่อมโยงกันแบบโครงสร้างใยแมงมุม (Web structure) ให้ทำงานที่ประสานและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอย่างลงตัว ผู้นำสถานศึกษาจึงต้องมีบทบาทเสมือนผู้นำการแสดง ของวงดนตรีขนาดใหญ่ซึ่งต้องแสดงพฤติกรรมที่เรียกว่า Concertive Action เพื่อให้ผู้เล่นเครื่องดนตรีทุกชิ้นประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียงตามบทบาทและสถานการณ์ที่แต่ละคนรับผิดชอบ ส่วนอีกบทบาทหนึ่งของผู้นำสถานศึกษา ก็คือ ควรใช้อำนาจโดยตำแหน่ง (Position power)เท่าที่จำเป็น แต่ควรปรับเปลี่ยนและใช้อำนาจดังกล่าวไปเพื่อการเป็น “ผู้เอื้ออำนวย (Facilitator)” ให้การปฏิบัติภารกิจของทีมงานของผู้นำย่อยต่างๆเป็นไปอย่างราบรื่นและบรรลุผลดีทั้งงานภาพย่อยและภาพรวมของโรงเรียน รวมทั้งการมีบทบาทเป็น ผู้ฝึกสอนแนะนำ (Coach) เป็น ครูสอนงาน (Teacher) และเป็น พี่เลี้ยง (Mentor) ที่คอยช่วยเหลือแนะนำการทำงานและพัฒนาความเป็นผู้นำให้แก่ทีมงานตลอดจนผู้นำในทุกระดับทั่วทั้งโรงเรียน
จากการสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยจำนวนมากของนักวิชาการที่กล่าวถึงการกระจายภาวะผู้นำหรือDistributed Leadership พบว่ามีประเด็นที่น่าสนใจควรแก่การพิจารณาต่อไปหลายประการ ได้แก่
1. การกระจายภาวะผู้นำ (Distributed Leadership) มีความหมายมากกว่าการมอบหมายงานให้ปฏิบัติแทน (Delegating) แต่เป็นวิธีการที่เชื่อว่าน่าจะดีที่สุดวิธีหนึ่งที่จะช่วยปลดปล่อย (Release) ศักยภาพ (Potential) ความเชี่ยวชาญ (Expertise) ความคิด (Idea) และความเพียรพยาม (Effort) ในการทำงานของทุกคนที่เกี่ยวข้องให้เกิดประโยช์สูงสุดต่อองค์การ
2. การกระจายภาวะผู้นำ สามารถใช้ได้ดีกับสถานการณ์ที่องค์การต้องเผชิญกับปัญหา (Problems) ภาวะภัยคุกคาม (Threats) และภาวะการเปลี่ยนแปลง (Change) ทั้งนี้เพราะแนวปฏิบัติดังกล่าว ก่อให้เกิดการคิดร่วมกัน จึงมักได้ข้อยุติที่เป็นความคิดดีๆร่วมกันของทีมงาน ซึ่งสมาชิกพร้อมที่จะขับเคลื่อนให้แนวคิดดังกล่าวเป็นความจริงขึ้นมา
3. ในสภาพแวดล้อมที่มี “การกระจายภาวะผู้นำ” เชื่อว่า การกระทำที่ผิดพลาด (Mistake) มักนำไปสู่การค้นพบวิธีการใหม่ๆที่มีคุณค่าตามมาเสมอ
4. การกระจายภาวะผู้นำ มิได้หมายความว่าทุกคนต้องเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ถือว่าแต่ละคนมีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะตน ที่สามารถระดมลงสู่การแก้ปัญหาและนำไปสู่กระบวนการตัดสินใจสุดท้ายได้อย่างถูกต้องแม่นยำขึ้น
5. การกระจายภาวะผู้นำ เป็นวิธีการที่ช่วยปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้นำจากการมีพฤติกรรมแบบ “ข้าเก่งคนเดียว” ไปให้ความสำคัญต่อการทำงานแบบทีมงานมากขึ้น ซึ่งสมาชิกมีโอกาสได้แสดงภาวะผู้นำและยังเป็นการสร้างพลังเพิ่มพิเศษ (Synergy) ให้แก่องค์การอีกด้วย
6. การกระจายภาวะผู้นำ เป็นแนวทางที่มุ่งเน้นเรื่อง ความร่วมมือ (Cooperation) และสร้างความไว้วางใจ (Trust)ต่อกัน แทนที่แนวคิดเก่าที่มุ่งการแข่งขัน (Competition) เอาชนะกันระหว่างหน่วยงานย่อยๆในองค์การจนบ่อยครั้งเกิดความเสียหายต่อส่วนรวม
7. การกระจายภาวะผู้นำ เป็นการมอบอำนาจความรับผิดชอบตัดสินใจ (Empowered) ให้กับทุกคน เพื่อให้คนเหล่านั้นปฏิบัติงานที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Efficiency) ทำงานอย่างมีความหมาย (Meaning)และเกิดประสิทธิผล (Effectiveness)
8. ภายใต้บรรยากาศของ “การกระจายภาวะผู้นำ” ถือว่าผู้ปฏิบัติงานทุกคน มีความหมายและมีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์การ เพราะต้องร่วมกันทำงานแบบทีมกับผู้อื่นและได้ร่วมใช้ภาวะผู้นำในกระบวนการทำงานนั้น
9. องค์การที่ยึดแนวทาง “การกระจายภาวะผู้นำ” เชื่อว่า ผู้นำสามารถเกิดขึ้นได้ทุกหนทุกแห่งและทุกสถานการณ์ทั่วทั้งองค์การ ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ภาวะผู้นำของบุคคลเกิดจากพฤติกรรมของการปฏิบัติงานรับผิดชอบอย่างมีคุณภาพ (Quality of practice) เป็นสำคัญ มิได้มาจากการที่ใครมีตำแหน่งสูงกว่า (Organizational position) หรือมีอำนาจเหนือกว่าใครแต่ประการใด
10. ในองค์การที่ยึดแนวทาง “การกระจายภาวะผู้นำ” เชื่อว่า ภาวะผู้นำของแต่ละบุคคลไม่ได้เป็นความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในลักษณะตามสายบังคับบัญชาที่ลดหลั่น (Hierarchical relations)ของแนวคิดองค์การแบบเดิม จึงไม่ยึดหลักการใช้อำนาจเพื่อการบังคับสั่งการ (Power imposing) แต่เป็นความสัมพันธ์เชิง “การแบ่งปันอำนาจ หรือ การใช้อำนาจร่วมกัน” เป็นสำคัญ โดยความเป็นผู้นำของบุคคลสามารถสับเปลี่ยนหมุนเวียนจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งไปตามแต่ละตามสถานการณ์ได้ตลอดเวลา
11. สถานศึกษา น่าจะเป็นองค์การในอุดมคติที่เหมาะต่อการประยุกต์ใช้แนวคิด “การกระจายภาวะผู้นำ”ทั้งนี้เพราะเป็นองค์กรที่สมาชิกทุกคนต้องใช้ความรู้และสร้างความรู้ (Knowledge)ในกระบวนการประกอบวิชาชีพของตน โดยที่ครูซึ่งเป็นสมาชิกองค์การมีหลักปฏิบัติต่อกันด้วยวัฒนธรรมทางวิชาการ หรือ Collegial culture และครูแต่ละคนมักให้ความเคารพนับถือในการปฏิบัติวิชาชีพของคนอื่นในฐานะของการเป็นผู้นำ อีกทั้งครูต้องใช้ภาวะผู้นำของตนในระหว่างการจัดการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนอยู่แล้วอีกด้วย
12. ในองค์การแห่งการเรียนรู้ (หรือโรงเรียนแห่งการเรียนรู้) จำเป็นต้องกระจายทั้งภาวะผู้นำและความรู้(Distributed leadership and knowledge) ดังนั้น องค์การแห่งการเรียนรู้ จะต้องควบคู่ไปกับการมีการกระจายภาวะผู้นำ เสมอ (Lakomski, 2000)
13. นักวิชาการบางคนให้ทัศนะว่า การกระจายภาวะผู้นำ จะเป็นรูปแบบภาวะผู้นำแห่งอนาคต
(Distributed Leadership is the leadership model of the future.)
จากประเด็นต่างๆที่บ่งบอกถึงแนวคิด “การกระจายภาวะผู้นำ” ที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่าเป็นแนวคิดที่มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมหลายทฤษฎีและแนวคิดด้านภาวะผู้นำที่นิยมใช้อยู่แล้วในปัจจุบัน เช่น
Shared Leadership, Facilitative Leadership, Empowerment Leadership, Democratic Leadership, Delegated Leadership, และ Dispersed Leadership เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่มีแนวคิดและค่านิยมร่วมกัน อันได้แก่เรื่อง การให้มีส่วนร่วมของสมาชิก การมอบอำนาจความรับผิดชอบในการตัดสินใจ การกระจายงานให้ปฏิบัติแทน การเอื้ออำนวยความสะดวก การนำด้วยแนวทางแบบประชาธิปไตย การให้คุณค่าและการนับถือในความสามารถของผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งเป็นแนวคิดและเป็นหลักการสำคัญยิ่งที่น่าจะนำมาซึ่งความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษาที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ แม้ว่าเรื่อง “การกระจายภาวะผู้นำ หรือ Distributed Leadership” ยังเป็นเรื่องใหม่และยังขาดความชัดเจนถึงขั้นที่จะเรียกได้ว่าเป็นทฤษฎีภาวะผู้นำหนึ่งก็ตาม แต่แนวคิด หลักการ ความเชื่อและค่านิยมของเรื่อง “การกระจายภาวะผู้นำ” นับได้ว่าเป็นกระแสหลักด้านภาวะผู้นำมีคุณค่าเหมาะสมกับยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่ต้องการพลวัตของภาวะผู้นำเพิ่มยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดร่วมมือร่วมใจกันขับเคลื่อนงานและองค์การ โดยเฉพาะสถานศึกษาที่อยู่ท่ามกลางบริบทอันซับซ้อนของสังคมขณะนี้ ให้สู่ความสำเร็จตามเจตจำนงของการปฏิรูปการศึกษาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
…………………………………………………..
รศ. สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์
http://suthep.cru.in.th/leadership33.doc
ไม่มีความเห็น