Journal entry ครั้งที่ ๑
เรื่อง ปฏิรูปการศึกษาไทย...แน่ใจว่าจะเป็นจริง
เรียน@ ท่านอาจารย์ประเสริฐที่เคารพรัก
หนูได้มีโอกาสในการที่จะศึกษาเอกสารเรื่อง “ข้อเสนอการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ.
๒๕๕๒-๒๕๖๑) ” ซึ่งหลักใหญ่ใจความสำคัญคือการที่รัฐพยายามที่จะอุดช่องโหว่ทางการศึกษาภายหลังจากการที่ได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ โดยมีนโยบายหลักๆ อยู่ ๓ ประการดังนี้ ๑. การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาและเรียนรู้ของคนไทย ๒. โอกาสทางการศึกษาและเรียนรู้ และ ๓. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคมในการบริหารและการจัดการ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวถูกนำมาหยิบยกเพื่อรับมือกับประเด็นปัญหาLL ที่พบอันเนื่องมาจากผลการดำเนินงานด้านการศึกษา ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมาซึ่งหนูขอนำเสนอและแสดงทัศนะในประเด็นต่างๆ ดังนี้
๑.การพัฒนาผู้เรียน/สถานศึกษา พบว่ามีสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ยังไม่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ประเมินของสมศ.จากการประเมินรอบแรกถึงร้อยละ ๖๕ ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนขนาดเล็กในชนบทภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ..... ในข้อ ๑. หนูพบว่าเป็นเรื่องจริงที่ต้องยอมรับแม้ว่า พรบ.๔๒ จะมุ่งเน้นความเสมอภาคทางการศึกษา อีกทั้งหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ใช้ก็เป็นหลักสูตรแม่แบบที่ผู้ที่เกี่ยวข้องทางการศึกษาทั้งประเทศจะต้องนำมาคิด วิเคราะห์และวางแผนการนำนโยบายลงสู่การปฏิบัติให้ได้ผล แต่ก็ปฏิเสธถึงคุณภาพไม่ได้ว่าโรงเรียนในชนบทห่างไกล คุณภาพจะด้อยกว่าโรงเรียนในเมืองหรือในเขตกรุงเทพ ทั้งนี้มีปัจจัยมากมายหลายประการทั้งความพร้อมของผู้เรียน การดูแลเอาใจใส่จากผู้ปกครองรวมถึงการได้รับการศึกษาของผู้ปกครอง ความพร้อมของสถานศึกษา ครูที่ยังขาดประสิทธิภาพในการจัดการเรียนรู้ การขาดแคลนสื่อ อุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้ที่จะคอยเสริมหนุนต่อการศึกษาที่แตกต่างของบุคคล ดังกล่าวจึงเป็นมูลเหตุปัจจัยที่ทำให้คุณภาพทางการศึกษาไม่เท่าเทียมกัน
๒. การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารและการจัดการศึกษาและการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทั้งการกระจายอำนาจบริหารและการจัดการศึกษาจากส่วนกลางสู่เขตพื้นที่ทางการศึกษาและสถานศึกษา .......จากข้อสองถึงแม้ว่าจะมีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษา พ.ศ.๒๕๕๐ แล้วก็ตามแต่หน่วยปฏิบัติก็ยังไม่มีอิสระแท้จริงในการบริหารงานเท่าที่ควร โดยเฉพาะการถ่ายโอนสถานศึกษาสู่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นซึ่งจากการที่เพื่อนของหนูที่เป็นครูประถม มัธยมก็พูดคุยกันถึงเรื่องเหล่านี้และพบว่าโรงเรียนขนาดใหญ่ส่วนมากไม่ต้องการโอนย้ายไปยังการปกครองส่วนท้องถิ่น เหตุผลคือ ไม่ยอมรับในมาตรฐานการดำเนินงานของผู้บังคับบัญชาที่จะเป็น นายกอบจ. อบต. ต่างๆ อีกทั้งไม่เชื่อมั่นในความรู้โดยเฉพาะด้านการจัดการศึกษา อีกประการหนึ่งโรงเรียนที่สมัครใจโอนย้ายส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก และเสียงสะท้อนจากเพื่อนหนูที่เป็นครูโรงเรียนสังกัด อบจ.บ่นว่ารู้สึก เครียด กดดันที่ถูกคาดหวังที่สูงจากหน่วยงานต้นสังกัด อาจเนื่องด้วยเป็นครูอัตราจ้างพวกเขาจะถูกมอบหมายในภาระงานที่มาก เหน็ดเหนื่อย กลับบ้านไม่เคยก่อน ๕ โมงเย็นที่เป็นเวลาเลิกงานซึ่งแตกต่างจากโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เหล่านี้กลายเป็นการบอกเล่าปากต่อปากและหนูคิดว่าทำให้เกิดทัศนคติด้านลบในการทำงาน ปัจจุบันนี้เพื่อนหนูพยายามทุกวิถีทางที่จะสอบเป็นข้าราชการที่อื่นๆ (และไม่อยู่ในสังกัด อบต./อบจ.)
๓. ด้านการขาดกำลังบุคลากรทางการศึกษาและการเงินเพื่อการศึกษา... เรียนอาจารย์ค่ะที่ผ่านมาพวกหนูจบการศึกษาทางด้านครูแต่โอกาสน้อยมากที่จะได้รับการสอบเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการ เพราะช่วงเวลาที่ยังไม่มีอัตราการเกษียณอายุราชการ และงบประมาณของแผ่นดินหรือแม้แต่การขาดแรงจูงใจในการทำงานด้านนี้ เพื่อนหนูรุ่นเดียวกันจบพร้อมกันสิบกว่าคน เลือกที่จะเป็นครูแค่สองคน (รวมทั้งหนู) เหตุผลคือ อาชีพครู เงินเดือนน้อยมากเมื่อเทียบกับอาชีพอีนๆ ซึ่งเมื่อแต่ละคนมีโอกาสในการทำงานอื่นๆ ที่รายได้ดีก็เลิกที่จะยึดอุดมคติที่กินไม่ได้ อีกประการหนึ่งก็สืบเนื่องจากนโยบายของรัฐที่ไม่แน่นอน เปลี่ยนรัฐบาลทีก็เปลี่ยนนโยบายที..นี่คือความไม่ต่อเนื่องและไม่ได้คำนึงถึงปลายทางแทนที่มีการวางแผนให้ก้าวต่อไป กลับต้องหยุดและมองหาเส้นทางเดินอื่นๆ (เพราะรัฐบาลชุดไหนๆ ก็ชอบคิดใหม่ ทำใหม่..อะไรๆ ก็เลยไม่ได้เรื่องได้ราว..หนูจะติดคุกมั่ยเนี่ย !!)
เหตุผลเหล่านี้ทำให้หนูคิดว่าสิ่งที่ประสบพบเจอในช่วงที่ผ่านมาคือวิกฤติทางการศึกษาจริงๆ ทั้งจากประสบการณ์ตรงและทางอ้อม ถึงแม้ว่าขณะนี้เรามองเห็นแสงสว่างรำไรในสายอาชีพที่ความพยายามในการยกระดับวิชาชีพครู การขึ้นเงินเดือน สวัสดิการต่างๆ แต่ก็ยังต้องรอการพิสูจน์และที่สำคัญก่อนจะถึง พ.ศ.๒๕๖๑ ก็จะต้องมีการประเมินผลการปฏิรูปการศึกษา รอบหน้ากันอีกครั้ง ก็ขอกำลังใจให้ตัวเองและขอเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนครูอี่นๆ ที่ต้องสร้างพลังกาย พลังสติปัญญาให้เข้มแข็งและยืนหยัดอย่างมั่นคงในสายงานที่เรารักต่อไปค่ะ
จากลูกศิษย์ C&S’5
สุจิตรา ปันดี ๕๔๒๕๓๙๑๐
ไม่มีความเห็น