วันหนึ่งนางผีเสื้อน้ำออกจากถ้ำไปหาภักษาหาร
ฝ่ายสินสมุทซึ่งรักพ่อมากกว่าแม่
เห็นพระอภัยหลับสนิทก็หนีไปวิ่งเล่นในคูหาเห็นแผ่นผาพิงผนิดปิดหนทาง
จึงเข้าลองผลักด้วยกำลัง ก็พังออก เห็นหาดทรายงาม
ทะเลกว้างและป่าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ก็ออกวิ่งเล่นและว่ายน้ำด้วยความสนุกสนาน ไปพบเงือกเข้าก็แปลกใจ
เห็นเป็นครึ่งคนครึ่งปลา จับไปให้พระบิดาดู
พระอภัยทราบว่าสินสมุทออกไปนอกถ้ำ
ก็ตกใจบอกว่าถ้าแม่ของสินสมุทู้ก็จะโกรธ ด้วยเกรงว่าจะพาพระบิดาหนี
จะพากันตายหมด
สินสมุทได้ฟังจึงถามความหลังจากพระบิดา พระอภัยก็เล่าให้ฟังจนหมดสิ้น
สินสมุทู้เรื่องแล้วก็เสียใจที่มีแม่เป็นยักษ์ร้าย
ฝ่ายเงือกน้ำฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง
ก็ขออาสาพระอภัยที่ได้ช่วยชีวิตไว้ว่าจะใช้ตนทำอะไรก็จะรับใช้ทุกอย่าง
พระอภัยเห็นว่าเงือกพูดได้และได้ฟังเรื่องแล้วก็เกิดความสงสาร
แล้วบอกว่าตนต้องการหนีนางผีเสื้อ แต่ไม่รู้ว่าจะไปแห่งหนใด
ขอให้เงือกผู้เจนทางกลางทะเลช่วยแนะนำด้วย
เงือกน้ำจึงบอกว่า
ค ฝ่ายเงือกน้ำคำนับอภิวาท | ข้าพระบาททราบสิ้นทุกถิ่นฐาน |
อันน้ำนี้มีนามตามบุราณ | อโนมานเคียงกันสีทันดร |
เป็นเขตแคว้นแดนที่นางผีเสื้อ | ข้างฝ่ายเหนือถึงมหิงษะสิงขร |
ข้างทิศใต้ไปเกาะแก้วมังกร | หนทางจรเจ็ดเดือนไม่เคลื่อนคลา |
ไปกลางย่านบ้านเรือนหามีไม่ | สมุทรไทซึ้งซึกลึกหนักหนา |
แต่สำเภาชาวเกาะเมืองลังกา | เขาแล่นมามีบ้างอยู่ลางปี |
ถ้าเสียเรือเหลือคนแล้วนางเงือก | ขึ้นมาเลือกเอาไปชมประสมศรี |
เหมือนพวกพ้องของข้ารู้พาที | ด้วยเดิมทีปู่ย่าเป็นมานุษย์ |
อายุข้าห้าร้อยแปดสิบเศษ | จึงแจ้งเหตุแถวทางกลางสมุทร |
แม้นจะหนีผีเสื้อด้วยแรงรุทร | เห็นไม่สุดสิ้นแดนด้วยแสนไกล |
แต่โยคีมีมนต์อยู่ตนหนึ่ง | อายุถึงพันเศษถือเพศไสย |
อยู่เกาะแก้วพิสดารสำราญใจ | กินลูกไม้เผือกมันเป็นพรรณผลา |
พวกเรือแตกแขกฝรั่งแลอังกฤษ | ขึ้นเป็นศิษย์อยู่สำนักนั้นหนักหนา |
ด้วยโยคีมีมนต์ดลวิชา | ปราบบรรดาภูติพรายไม่กรายไป |
แม้นพระองค์ทรงฤทธิ์จะคิดหนี | ถึงโยคีเข้าสำนักไม่ตักษัย |
เผื่อสำเภาเขาซัดพลัดเข้าไป | ก็จะได้โดยสารไปบ้านเมือง |
แต่ทางไกลไม่น้อยถึงร้อยโยชน์ | ล้วนเขาโขดคีรีรัตน์ขนัดเนื่อง |
แล้วเงือกก็บอกว่า
ด้วยกำลังของตนจะพาหนีก็ต้องใช้เวลาถึงเจ็ดราตรี
แต่นางผีเสื้อน้ำมีกำลัง ถ้าติดตามไปเพียงสามวันก็จะตามทัน
ถ้าจะแก้ไขให้นางผีเสื้อน้ำไปอยู่ป่าล่วงหน้าก็จะค่อยยังชั่วบ้าง
พระอภัยได้ฟังความแล้วก็ค่อยคลายทุกข์
แล้วให้เงือกกับสินสมุทช่วยกันไปปิดปากถ้ำไว้อย่างเดิม
อย่าให้เป็นที่สงสัยของนางผีเสื้อน้ำได้
เมื่อนางผีเสื้อกลับมายังถ้ำก็แปลงตนเป็นมนุษย์เอาผลไม้มาให้พระอภัย
เมื่อค่ำลงก็พากันหลับไป ฝ่ายนางผีเสื้อเมื่อจะพรากจากลูกผัว
ได้นิมิตฝันว่า เทวดาที่อยู่เกาะนั้นมาทำลายถ้ำ
แล้วเอาพะเนินทุบตนจนแทบถึงชีวิต จากนั้นได้ควักเอาดวงตาไปด้วย
เมื่อนางตื่นขึ้นจึงเล่าความฝันให้พระอภัยฟัง
แล้วขอให้ทำนายฝันให้ด้วย
พระอภัยได้ฟังแล้วก็เห็นว่าตนจะหนีนางผีเสื้อไปได้
แต่นางผีเสื้อจะเป็นอันตราย จึงแกล้งทำนายฝันว่าเป็นฝันร้ายนัก
ต้องตำราว่าเทวดานั้นคือ มัจจุราชหมายเอาชีวิต
แล้วแกล้งทำโศกเศร้าแนะนำให้นางผีเสื้อสะเดาะเคราะห์
นางผีเสื้อก็ขอคำแนะนำว่าจะให้นางสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีการอย่างใด
พระอภัยจึงบอกให้นางไปอยู่ผู้เดียวที่ตีนเขา
แล้วอดข้าวอดปลาให้ครบสามวัน
นางผีเสื้อก็เชื่อแล้วออกไปอยู่ที่เขาใหญ่ สินสมุทสงสารแม่
พระบิดาจึงห้ามไม่ให้สินสมุทตามแม่ไป
เมื่อนางผีเสื้อไปแล้ว
พระอภัยก็ให้สินสมุทผลักแผ่นศิลาปิดปากถ้ำออกไปแล้วพากันไปที่หาดทราย
ฝ่ายเงือกน้ำก็พาลูกเมียไปรอแล้วก็พาพระอภัยขึ้นบ่าพาไป
ส่วนสินสมุทก็ขี่เมียเงือก บรรดาสัตว์น้ำทั้งหลายไม่กล้ากล้ำกราย
ด้วยกลิ่นอายของสินสมุทคล้ายผีเสื้อผู้เป็นมารดา
ส่วนลูกสาวเงือกก็ว่ายน้ำตามไปโดยไม่ยอมหยุดพัก
ด้วยเกรงนางผีเสื้อจะตามมาทัน
ฝ่ายนางผีเสื้อสมุทร อดปลาอดนอนได้สามวันก็อ่อนกำลังจวนเจียนถึงชีวิต
เมื่อครบกำหนดแล้วก็หาผลไม้มากิน แล้วกลับมายังถ้ำ
เห็นประตูคูหาเปิดอยู่ เข้าไปดูในถ้ำไม่พบใครก็ตกใจ
แลดูปี่ที่เป่าก็หายไปด้วยก็รู้ว่าพากันหนีนางไปแล้ว
มีความเสียใจที่ทั้งลูกและผัวหนีจากไป แล้วก็เกิดความโกรธ
ออกติดตามดูร่องรอยในมหาสมุทรก็ไม่พบ
จึงเรียกโยธาหาญของตนที่เป็นปีศาจ ราชทูตภูติพรายมาซักถาม
พวกผีที่อยู่ทิศทักษิณแจ้งว่า
เห็นเงือกพามนุษย์ไปทางทิศใต้เมื่อคืนวานซืน
ตนจะตามไปก็เกรงขามเด็กตัวเล็กแต่ไม่กลัวผี
นางผีเสื้อรู้ความแล้วก็รีบติดตามไปอย่างรีบร้อนและเหลือโกรธ
ทำลายสิ่งที่กีดขวางทางไปตลอดทาง
ฝ่ายพระอภัยมณี หนียักษ์มาได้ห้าคืน เห็นทะมื่นมาข้างหลังดังสะเทือน
จึงถามเงือก ฝ่ายเงือกรู้ว่าสิ่งนั้นคือ
ฤทธิ์ของยักษ์จึงตอบพระอภัยไปว่า นางยักษ์กำลังตามมา
คงจะทันกันในวันนี้ หนีไม่พ้น
เห็นสุดจนจะม้วยลงด้วยยกัน
ค พระอภัยใจหายไม่วายเหลียว | ให้เปล่าเปลี่ยวนัยนาเพียงอาสัญ |
แต่มานะกษัตริย์สู้กัดฟัน | อุตสาห์กลั้นกลืนน้ำตาแล้วพาที |
จะไปไหนไม่พ้นผีเสื้อน้ำ | วิบากกรรมก็จะสู้อยู่เป็นผี |
ท่านส่งเราเข้าที่เกาะละเมาะนี้ | แล้วรีบหนีไปในน้ำแต่ลำพัง |
แล้วว่าแก่สินสมุทสุดที่รัก | แม้นนางยักษ์จะมารับจงกลับหลัง |
อันตัวพ่อขอตายวายชีวัน | กันแสงสั่งลูกยาด้วยอาลัย ฯ |
สินสมุทตอบว่า จะไม่ทิ้งพระบิดา ถ้าแม้ตามมาจะห้ามไว้
แล้วให้พระบิดารีบหนีไปก่อน
ฝ่ายนางผีเสื้อสมุทรตามมาได้สามวันก็ตามทันผัวกับลูกน้อย
ฝ่ายเงือกน้ำสิ้นกำลังที่จะพาพระอภัยหนีต่อไป
จึงเรียกลูกสาวให้ช่วยพาพระอภัยหนีต่อไป
สินสมุทเห็นมารดาในร่างเดิม ไม่ใช่ร่างนิมิตที่ตนเคยเห็น
ก็สงสัยออกขวางกลางน้ำ แล้วร้องถามว่าเป็นสัตว์บกหรือสัตว์น้ำ
ที่ตามมานั้นต้องประสงค์อะไร
นางผีเสื้อน้ำได้ยินคำพูดของลูกก็ให้นึกอดสู
จึงตอบไปว่าตนไม่ใช่ชาติยักษ์ เมื่ออยู่ในถ้ำไม่ได้จำแลง
แต่ออกเดินทางอย่างนี้ต้องนิมิต รูปจึงผิดไปกว่าเก่าจนเป็นที่สงสัย
แล้วถามพ่อไปอยู่ที่ไหน สินสมุทได้ฟังสำเนียงก็รู้ว่าเป็นแม่
แต่ดูรูปร่างแล้วน่าสมเพช ด้วยเหตุนี้พระบิดาจึงหนี
จึงแกล้งบอกว่าตนไม่เชื่อ ถ้าหากเป็นแม่จริงก็อย่าตามมา
ด้วยแม่เป็นผีเสื้อ แต่พระบิดาเป็นมนุษย์จึงขอให้ปล่อยพระบิดาไป
ส่วนตนนั้นจะขอลาไปเที่ยวสักหนึ่งปี ถ้าได้พบ อา ย่า ปู่
อยู่เป็นสุขแล้วก็จะชวนพระบิดามาหามารดาต่อไป
นางผีเสื้อรู้ทันสินสมุท
เมื่อเจรจาหว่านล้อมไม่เป็นผลแล้วนางจึงเข้าโจนจับสินสมุท
แต่สินสมุทก็หลบหลีกไปได้ แล้วหนีล่อให้มารดาตามตนไปต้นทาง
หมายให้ห่างพระบิดาได้คลาไคล นางผีเสื้อหาลูกและผัวไม่พบ
จึงอ่านพระเวท มองหาพระอภัย เมื่อเห็นแล้วก็ติดตามไปปพบเงือกยายตา
ที่อ่อนกำลังว่ายน้ำอยู่จึงเข้าไปจับแล้วซักถาม
สองเงือกก็หลอกนางผีเสื้อว่า พระอภัยอยู่บนเขาขวางริมทางที่ผ่านมา
ตนจะพาไปจับตัว ถ้าไม่เหมือนคำที่สัญญา
ก็ขอให้ฆ่าตนทั้งสองเสียนางผีเสื้อก็เชื่อ
เงือกพานางผีเสื้อมาได้ครึ่งวันแล้วก็พูดล่อให้ต่อไป
แต่นางผีเสื้อรู้ทันจึงว่าสองเงือกตอแหล จึงหักขาฉีกสองแขน
แล้วเคี้ยวกินเงือกทั้งสองนั้นเสีย
จากนั้นก็ออกติดตามพระอภัยต่อไป
นางเงือกพาพระอภัยมาถึงเกาะแก้วพิสดารพร้อมกับสินสมุท
ค นางเงือกน้ำบอกสำคัญว่านั่นแล้ว | คือเกาะแก้วพิสดารเป็นชานเขา |
พระฟังนางสว่างโศกค่อยบรรเทา | จึงว่าเราเห็นจะรอดไม่วอดวาย |
ไม่มีความเห็น