สังคมกำลังจะขาดความสมดุล เพราะเรากำลังให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจแบบการตลาด มากกว่าเศรษฐกิจแบบธรรมชาติ
ช่วงนี้ผมห่างหายจากการเขียนบันทึกใน GTK ไปนานทีเดียว
นับจากบันทึกครั้งที่แล้วก็ประมาณเดือนหนึ่งพอดี
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเรื่องงานประจำที่รุมเร้าเข้ามา
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องหลัก
เพราะผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องของอารมณ์บรรยากาศล้วนๆ
ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการบันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต
บรรยากาศในช่วง 1
เดือนที่ผ่านเป็นบรรยากาศการทำงานที่ผมคิดว่าชีวิตการทำงานไม่ค่อยมีความสุขซักเท่าไหร่
ทำงานไปวันๆ ไม่ค่อยมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน
เกิดความเบื่อหน่ายกับชีวิตการทำงานที่ต้องขายแรงงานเพื่อหาเงิน
ได้มาแล้วก็ใช้ไป
หมดไปกับสิ่งที่คิดว่าจำเป็นต่อการดำรงชีวิตสำหรับการดำรงชีวิตในเมืองใหญ่
ชีวิตเหมือนหนูวิ่งปั่นล้อ เป็นวัฎจักรไม่มีที่สิ้นสุด ทำงาน
หาเงิน กิน ใช้ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเดินทาง กินเหล้า เที่ยว เหนื่อย
การพักผ่อนไม่ใช่การพักผ่อนจริงๆ เพราะต้องใช้เงินทุกครั้ง
ผมรู้สึกว่าทำไมคนเราต้องทำงานหาเงิน แล้วนำเงินมาแลกของปัจจัย 4
ทำให้เสียแรงงานทรัพยากรโดยไม่จำเป็น
ทำไมเราไม่ทำงานที่สามารถสร้างปัจจัย 4 ได้ด้วยตัวเราเอง
ยิ่งมาอ่านหนังสือเรื่อง “ประชาธิปไตยผืนดิน: ความยุติธรรม
ความยั่งยืน และสันติภาพ” ของ ดร. วันทนา ศิวะแล้ว
ยิ่งทำให้เห็นภาพอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ที่สังคมกำลังจะขาดความสมดุล
เพราะเรากำลังให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจแบบการตลาด
มากกว่าเศรษฐกิจแบบธรรมชาติ หรือเศรษฐกิจเพื่อการยังชีพ
ภาพจาก http://www.suan-spirit.com/admin/productimg/p49img2.jpg
โลกและสังคมทุกวันนี้กำลังถูกเบียดเบียนจากความโลภของมหาอำนาจหรือบรรษัทยักษ์ใหญ่ของโลกเพียงไม่กี่ราย
ที่รุมทึ้งทรัพยากรเพื่อความมั่งคั่งของตนเองและพวกพ้อง
โดยจ้างพนักงานเข้ามาทำงานให้เพื่อแลกกับเศษเงินเพียงไม่กี่บาท
เพื่อที่จะได้นำเงินเหล่านั้นไปซื้อหาปัจจัย 4
พื้นฐานที่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ผมคิดว่าใครๆ ก็สามารถทำได้
แต่ทุกอย่างก็เป็นเงินไปหมด
ทุกวันนี้แม้แต่น้ำดื่มซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติพื้นฐานสำหรับทุกคนยังต้องใช้เงินซื้อ
อีกหน่อยอากาศที่เราหายใจคงต้องใช้เงินซื้ออีกเป็นแน่
ผมสังเกตว่าช่วงนี้ตึกรามบ้านช่องในกรุงเทพ
คอนโดมีเนียมผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด คนแออัดกันอยู่ในเมืองใหญ่ๆ
ทำให้ผมสงสัยว่าเราจะหาอาหาร น้ำ
มาเลี้ยงคนเหล่านี้ให้เพียงพอได้อย่างไร
อาหารที่เลี้ยงคนเหล่านี้ต้องมีปริมาณมากมายมหาศาลมาก
นั่นคือต้องมีการผลิตด้วยระบบอุตสาหหรรม ทำให้ผมคิดว่าอาหาร
ที่กินเข้าเหมือนไม่ใช่อาหาร เพราะเป็นการผลิตเพื่อปริมาณในเชิงเดี่ยว
ไม่มีความหลากหลาย อาหารธรรมชาติหายากและมีราคาแพง
ในสถานการณ์แบบนี้ ผมคิดว่าความเป็นคนบ้านนอก
ที่ผมยังยึดไว้ในความเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองสามารถที่จะบรรเทาปัญหานี้ได้บ้าง
และยังมีความภูมิใจเล็กๆ
ที่เกิดมาเป็นคนบ้านนอกได้เรียนรู้ภูมิปัญญาแบบบ้านๆ
จากบรรพบุรุษอยู่บ้าง
ดังนั้นการกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ต่างจังหวัดบ่อยๆ
จึงเปรียบเหมือนการเติมพลังให้ชีวิตในการต่อสู้กับการดำเนินชีวิตในเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี
ตัวอย่างง่ายๆ ที่คนในเมืองหลวงส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้มีโอกาสสัมผัสก็คือ
การกินอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ บูรณาการตามฤดูกาล
ถึงแม้ที่บ้านเกิดผมจะมีเนื้อที่เพียง 1ไร่ แต่ ใน 1 ไร่นั้น
ก็มีทุกอย่างที่เป็นอาหารได้ ตามแนวคิด กินทุกอย่างที่ปลูกและขึ้นเอง
ปลูกทุกอย่างที่กินได้ ทุกอย่างเด็ดและเก็บสดๆ จากต้น
ไม่ต้องกังวลกับสารเคมีตกค้างหรือสารเร่งฮอร์โมนต่างๆ
ผมกล้าพูดได้ว่าแม้แต่เศรษฐีพันล้านในเมืองหลวงยังไม่มีโอกาสกินอาหารดีๆ
อย่างบ้านผมได้ (รายละเอียดดูที่บันทึกก่อนหน้านี้ตาม Link นี้ เช่น
http://www.gotoknow.org/blog/attawutc/222684
, http://www.gotoknow.org/blog/attawutc/255956
, http://www.gotoknow.org/blog/attawutc/414257 )
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดผมคิดว่ามันยังไม่ถึงที่สุดจนกว่าจะกลับไปดำเนินชีวิตด้วยวิธีเหล่านี้ตลอดไป
ไม่ต้องมาขายแรงงานในเมืองหลวง แล้วกลับไปเยี่ยมเป็นครั้งคราว
เหมือนกับนักท่องเที่ยวที่โหยหาธรรมชาติแบบ Home Stay ฉาบฉวย
ชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งเป็นการยากพอสมควร
ผมยอมรับว่าผมยังคงต้องใช้ชีวิตในเมืองหลวงอีกซักระยะ
ช่วงนี้ก็เป็นช่วงเก็บข้อมูลเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่วิถีชีวิตดั้งเดิมที่โหยหา
ซึ่งต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์ ดร. แสวง รวยสูงเนิน Bloger
ที่ผมแอบติดตามท่านมาตลอด (http://www.gotoknow.org/blog/sawaengkku)
ซึ่งได้หล่อเลี้ยงแนวคิดดังกล่าวไว้อย่างต่อเนื่อง