รู้จักคำว่าพอเพียง


บทเรียนชีวิตสอนให้รู้จักคำว่าพอเพียง
:: 142 Views :: 1 Comments :: :: กรณีศึกษาจากพนักงาน

ถึงเพื่อนๆ ชาวซีพี

ตั้งแต่มี “ชุมชนคนพอเพียง” เกิดขึ้น  ฉันคิดว่าฉันมีคุณสมบัติที่จะเป็นสมาชิกของชุมชนนี้ได้  เพราะมองย้อนกลับไปในอดีตหลายสิบปีที่ผ่านมา ฉันใช้ชีวิตแบบพอเพียงมาโดยตลอด  ฉันทำบัญชีรับจ่ายมานานกว่าสิบห้าปี  จึงสนใจขอสมัครเข้าเป็นสมาชิก ชุมชนคนพอเพียง  เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และถ้ามีโอกาสที่จะทำประโยชน์ในการให้คำแนะนำแก่เพื่อนๆและน้องๆได้  พร้อมนี้ฉันได้เขียนเล่าเรื่องการดำเนินชีวิตที่ผ่านมาหลายสิบปีของฉันเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน

1. การที่ฉันรู้จักใช้ชีวิตแบบพอเพียงก่อนทฤษฎีนี้จะเฟื่องฟูในปัจจุบันนั้น มันมีเหตุมาจากชีวิตฉันในวัยเด็กเติบโตมาแบบไม่ค่อยพอเพียง  เพราะคุณพ่อซึ่งเป็นเสาหลักเสียชีวิตตั้งแต่ฉันอายุ 5 ขวบ ทิ้งภาระการดูแลฉันและน้องอายุ 3 ขวบให้แก่คุณแม่ ซึ่งเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาคนหนึ่ง   คุณแม่มีเป้าหมายที่จะให้พวกเราเรียนหนังสือให้สูงที่สุด  ฉันและน้องเติบโตมาด้วยการช่วยแม่ทำงานทุกอย่างที่จะทำได้  งานประจำที่เราทำตอนปิดเทอมตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมคือขายหนังสือที่ศึกษาภัณฑ์ เก็บเงินไว้ใช้ตอนเปิดเทอม  ฉันตั้งใจเรียนจนจบปริญญาตรีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยได้ทุนเรียนดีทุกปี  ส่วนน้องเรียนไม่เก่งเขาก็ไปเรียนสายอาชีพ  เมื่อมีงานทำเราจึงรู้คุณค่าของเงิน ใช้จ่ายที่จำเป็น ไม่ฟุ้งเฟ้อ  สมัยนั้นยังไม่มีสินค้าเงินผ่อน ดังนั้นจะซื้ออะไรต้องเก็บเงินเป็นก้อนไว้  ฉันก็ใช้วิธีฝากเงินธนาคารแบบสินมัธยัสฝากทุกเดือนเป็นระยะ  1 ปี พอครบกำหนดก็ไปซื้อของเช่น ทีวี ตู้เย็น  ฉันทำประกันชีวิตที่เบี้ยไม่สูงเป็นการจ่ายรายเดือนไว้ให้คุณแม่ ในกรณีที่เราเป็นอะไรไปอย่างน้อยคุณแม่ก็มีหลักประกันและเป็นการเก็บเงินไปในตัว  

2. ต่อมาเมื่อชีวิตครอบครัวของตัวเองไปไม่รอด ต้องมีภาระเลี้ยงดูลูกสาวเพียงลำพัง ซึ่งตอนนั้นอายุ 2 ขวบทำให้
ฉันต้องมีแผนการดำเนินชีวิตและการใช้จ่ายเงินที่มั่นคงและไม่ประมาท  เพราะอยู่ในช่วงที่เพิ่งซื้อบ้าน ภาระหนักจึงตกอยู่ที่การผ่อนบ้าน ค่าใช้จ่ายต้องจำกัด  ด้านหลักประกันฉันทำประกันชีวิตเพิ่มไว้ให้ลูก  แม้จะไม่ใช่เงินที่สูงมากแต่หากเกิดอะไรขึ้นกับเราก็ยังมีเงินก้อนนี้  (ที่คิดได้อาจจะเพราะคุณพ่อก็จากไปเร็วโดยไม่มีหลักประกัน)  ฉันฝากเงินประจำเดือนให้ลูกเป็นบัญชีสินมัธยัส  วิธีนี้เป็นวิธีสร้างวินัยที่ดีให้ตัวเองในการเก็บเงินเพราะได้เงินก้อนและได้ดอกเบี้ยด้วย  (ซึ่งฉันยังทำอยู่จนถึงปัจจุบัน บัญชีแบบนี้เขาให้มีได้คนละ 1 บัญชีโดยดอกเบี้ยจะสูงกว่าเงินฝากประจำและ ไม่ถูกหักภาษี 15 %)  เมื่อครบกำหนดได้เงินก้อนก็จะเปิดบัญชีใหม่เก็บไว้  ถ้าไม่จำเป็นจะไม่แตะต้องเด็ดขาด  เรียกว่าเป็นบัญชียามฉุกเฉิน  ซึ่งฉันมี  2 บัญชีมาถึงปัจจุบัน  คือบัญชีเงินเดือน ซึ่งจะเก็บเงินไว้เฉพาะค่าใช้จ่ายประจำเดือน ส่วนที่เหลือจะผลักมาบัญชีที่ 2 นี้ และถ้าบัญชีที่สองมีเงินมากขึ้น  ก็นำลงทุนต่อเช่น เปิดบัญชีฝากประจำ  ซื้อกองทุน ซึ่งเดี๋ยวนี้ธนาคารเปิดกองทุนใหม่ๆตลอดเวลามีระยะสั้น 5 – 6 เดือน ระยะยาว 10 – 12 เดือน ได้ดอกเบี้ยงสูงกว่าฝากประจำเล็กน้อย และดอกเบี้ยไม่ต้องเสียภาษี 15 % ด้วย  ยกตัวอย่างธนาคารกรุงเทพฯ มีกองทุนบัวหลวงธนรัฐ  ธนสาร เป็นต้น    

 

3. เพราะต้องการให้การศึกษาที่ดีที่สุดแก่ลูกเหมือนที่คุณแม่ให้กับเรา จึงต้องประหยัดและเก็บเงินเพื่อเป็นทุนการศึกษาไว้ให้เขา  จึงต้องสอนลูกและใจแข็งเวลาลูกขออะไรที่เราเห็นว่าไม่จำเป็น เช่น ตอนเล็กๆไปเดินห้างของที่จะซื้อให้ลูกคือหนังสือและมีจำนวนว่าไม่เกิน 2 เล่ม  เพราะเห็นว่ามีประโยชน์และเป็นการปลูกฝังให้รักการอ่านซึ่งติดตัวเขามาถึงทุกวันนี้  ส่วนของเล่นจะซื้อบ้าง แต่ในราคาสมเหตุสมผล ถ้าแพงจะไม่ซื้อและบอกเหตุผล ( แต่ถือว่าโชคดีที่สมัยนั้นต่างจากสมัยนี้เป็นของเล่นเป็นไฮเทคหมดและมีราคาแพง)  สอนให้เขารู้จักค่าของเงิน บอกเขาตรงๆว่าต้องเก็บเงินไว้ให้เขาเรียนหนังสือ  เราให้ใช้พอเพียงแต่เราก็ไม่ได้ให้เขาขาดจนรู้สึกน้อยหน้าในสังคม  อะไรที่เป็นเรื่องการเรียนจะให้เขาเต็มที่  เช่น เรียนพิเศษ ส่งไปเรียนภาษาปิดเทอมภาคฤดูร้อน  เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปเรียนที่สหรัฐ  เป็นต้น

การทำบัญชีรับจ่ายฉันได้ยินเรื่องนี้มาจากเพื่อนของคุณแม่เล่าให้ฟัง ก็สนใจและนำมาทำเมื่อกว่าสิบห้าปีมาแล้วโดยการไปซื้อสมุดลงบัญชีเล่มเล็กๆมีขายทั่วไปมาจดบันทึก   ทำให้เรารู้รายรับรายจ่าย และยังเป็นบันทึกที่ดี
มากว่าเราใช้เงินทำอะไรบ้าง คือเราสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้  เช่นเราซื้อของชิ้นนี้ตั้งแต่เมื่อไร  ราคาเท่าไร มาเปรียบเทียบราคาปัจจุบันได้  เชื่อหรือไม่ว่าเงินใช้ไปแล้วจะจำไม่ได้ว่าเงินหายไปไหน   และฉันก็สอนให้ลูกทำด้วยตั้งแต่เขาทำงานมีรายได้เป็นของตัวเอง  ฉันว่าไม่ได้เป็นเรื่องยากลำบากที่จะลงบันทึกทุกวันตอนเย็น  แรกๆอาจจะลืม  ควรทำให้ติดเป็นนิสัยจนถ้าไม่ได้ทำจะรู้สึกว่าขาดอะไรไป 
 
ทุกวันนี้ในวัยเลขห้า  ฉันผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร  ฉันภูมิใจที่ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิตรอดปลอดภัยมาได้  ลูกฉันจบการศึกษาปริญญาตรีจากเอแบค   มีงานทำที่ดี   ฉันมีเงินเก็บก้อนหนึ่งไว้ให้เขาถ้าจะเรียนต่อปริญญาโท และมีเงินเก็บสำหรับชีวิตหลังเกษียณของตัวเอง ซึ่งเงินก้อนนี้จะยังงอกเงยไปเรื่อยๆตราบใดที่ยังทำงานอยู่  แม้จะไม่ใช่เงินก้อนใหญ่แต่ฉันคิดว่าพอเพียงหากฉันดำเนินชีวิตแบบพอเพียงนี้ต่อไป   ฉันไม่ได้มีบ้านใหญ่โต บ้านของฉันคือ Home ที่มีลูกที่เป็นคนดีของแม่และสังคม    รถยนต์ก็ใช้มา 4 ปีแล้วคงใช้ต่อไปเรื่อยๆ   ฉันว่าฉันมีครบทุกอย่างในการใช้ชีวิต   ฉันมีความสุขในวันนี้เพราะยึดความพอเพียงเป็นหลักในการดำเนินชีวิต    

คำสำคัญ (Tags): #ราตรี
หมายเลขบันทึก: 445749เขียนเมื่อ 25 มิถุนายน 2011 09:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 19:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท