ถึงเพื่อนๆ ชาวซีพี
ตั้งแต่มี “ชุมชนคนพอเพียง” เกิดขึ้น ฉันคิดว่าฉันมีคุณสมบัติที่จะเป็นสมาชิกของชุมชนนี้ได้ เพราะมองย้อนกลับไปในอดีตหลายสิบปีที่ผ่านมา ฉันใช้ชีวิตแบบพอเพียงมาโดยตลอด ฉันทำบัญชีรับจ่ายมานานกว่าสิบห้าปี จึงสนใจขอสมัครเข้าเป็นสมาชิก ชุมชนคนพอเพียง เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และถ้ามีโอกาสที่จะทำประโยชน์ในการให้คำแนะนำแก่เพื่อนๆและน้องๆได้ พร้อมนี้ฉันได้เขียนเล่าเรื่องการดำเนินชีวิตที่ผ่านมาหลายสิบปีของฉันเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
1. การที่ฉันรู้จักใช้ชีวิตแบบพอเพียงก่อนทฤษฎีนี้จะเฟื่องฟูในปัจจุบันนั้น มันมีเหตุมาจากชีวิตฉันในวัยเด็กเติบโตมาแบบไม่ค่อยพอเพียง เพราะคุณพ่อซึ่งเป็นเสาหลักเสียชีวิตตั้งแต่ฉันอายุ 5 ขวบ ทิ้งภาระการดูแลฉันและน้องอายุ 3 ขวบให้แก่คุณแม่ ซึ่งเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาคนหนึ่ง คุณแม่มีเป้าหมายที่จะให้พวกเราเรียนหนังสือให้สูงที่สุด ฉันและน้องเติบโตมาด้วยการช่วยแม่ทำงานทุกอย่างที่จะทำได้ งานประจำที่เราทำตอนปิดเทอมตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมคือขายหนังสือที่ศึกษาภัณฑ์ เก็บเงินไว้ใช้ตอนเปิดเทอม ฉันตั้งใจเรียนจนจบปริญญาตรีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยได้ทุนเรียนดีทุกปี ส่วนน้องเรียนไม่เก่งเขาก็ไปเรียนสายอาชีพ เมื่อมีงานทำเราจึงรู้คุณค่าของเงิน ใช้จ่ายที่จำเป็น ไม่ฟุ้งเฟ้อ สมัยนั้นยังไม่มีสินค้าเงินผ่อน ดังนั้นจะซื้ออะไรต้องเก็บเงินเป็นก้อนไว้ ฉันก็ใช้วิธีฝากเงินธนาคารแบบสินมัธยัสฝากทุกเดือนเป็นระยะ 1 ปี พอครบกำหนดก็ไปซื้อของเช่น ทีวี ตู้เย็น ฉันทำประกันชีวิตที่เบี้ยไม่สูงเป็นการจ่ายรายเดือนไว้ให้คุณแม่ ในกรณีที่เราเป็นอะไรไปอย่างน้อยคุณแม่ก็มีหลักประกันและเป็นการเก็บเงินไปในตัว
2. ต่อมาเมื่อชีวิตครอบครัวของตัวเองไปไม่รอด ต้องมีภาระเลี้ยงดูลูกสาวเพียงลำพัง ซึ่งตอนนั้นอายุ 2 ขวบทำให้ ฉันต้องมีแผนการดำเนินชีวิตและการใช้จ่ายเงินที่มั่นคงและไม่ประมาท เพราะอยู่ในช่วงที่เพิ่งซื้อบ้าน ภาระหนักจึงตกอยู่ที่การผ่อนบ้าน ค่าใช้จ่ายต้องจำกัด ด้านหลักประกันฉันทำประกันชีวิตเพิ่มไว้ให้ลูก แม้จะไม่ใช่เงินที่สูงมากแต่หากเกิดอะไรขึ้นกับเราก็ยังมีเงินก้อนนี้ (ที่คิดได้อาจจะเพราะคุณพ่อก็จากไปเร็วโดยไม่มีหลักประกัน) ฉันฝากเงินประจำเดือนให้ลูกเป็นบัญชีสินมัธยัส วิธีนี้เป็นวิธีสร้างวินัยที่ดีให้ตัวเองในการเก็บเงินเพราะได้เงินก้อนและได้ดอกเบี้ยด้วย (ซึ่งฉันยังทำอยู่จนถึงปัจจุบัน บัญชีแบบนี้เขาให้มีได้คนละ 1 บัญชีโดยดอกเบี้ยจะสูงกว่าเงินฝากประจำและ ไม่ถูกหักภาษี 15 %) เมื่อครบกำหนดได้เงินก้อนก็จะเปิดบัญชีใหม่เก็บไว้ ถ้าไม่จำเป็นจะไม่แตะต้องเด็ดขาด เรียกว่าเป็นบัญชียามฉุกเฉิน ซึ่งฉันมี 2 บัญชีมาถึงปัจจุบัน คือบัญชีเงินเดือน ซึ่งจะเก็บเงินไว้เฉพาะค่าใช้จ่ายประจำเดือน ส่วนที่เหลือจะผลักมาบัญชีที่ 2 นี้ และถ้าบัญชีที่สองมีเงินมากขึ้น ก็นำลงทุนต่อเช่น เปิดบัญชีฝากประจำ ซื้อกองทุน ซึ่งเดี๋ยวนี้ธนาคารเปิดกองทุนใหม่ๆตลอดเวลามีระยะสั้น 5 – 6 เดือน ระยะยาว 10 – 12 เดือน ได้ดอกเบี้ยงสูงกว่าฝากประจำเล็กน้อย และดอกเบี้ยไม่ต้องเสียภาษี 15 % ด้วย ยกตัวอย่างธนาคารกรุงเทพฯ มีกองทุนบัวหลวงธนรัฐ ธนสาร เป็นต้น
3. เพราะต้องการให้การศึกษาที่ดีที่สุดแก่ลูกเหมือนที่คุณแม่ให้กับเรา จึงต้องประหยัดและเก็บเงินเพื่อเป็นทุนการศึกษาไว้ให้เขา จึงต้องสอนลูกและใจแข็งเวลาลูกขออะไรที่เราเห็นว่าไม่จำเป็น เช่น ตอนเล็กๆไปเดินห้างของที่จะซื้อให้ลูกคือหนังสือและมีจำนวนว่าไม่เกิน 2 เล่ม เพราะเห็นว่ามีประโยชน์และเป็นการปลูกฝังให้รักการอ่านซึ่งติดตัวเขามาถึงทุกวันนี้ ส่วนของเล่นจะซื้อบ้าง แต่ในราคาสมเหตุสมผล ถ้าแพงจะไม่ซื้อและบอกเหตุผล ( แต่ถือว่าโชคดีที่สมัยนั้นต่างจากสมัยนี้เป็นของเล่นเป็นไฮเทคหมดและมีราคาแพง) สอนให้เขารู้จักค่าของเงิน บอกเขาตรงๆว่าต้องเก็บเงินไว้ให้เขาเรียนหนังสือ เราให้ใช้พอเพียงแต่เราก็ไม่ได้ให้เขาขาดจนรู้สึกน้อยหน้าในสังคม อะไรที่เป็นเรื่องการเรียนจะให้เขาเต็มที่ เช่น เรียนพิเศษ ส่งไปเรียนภาษาปิดเทอมภาคฤดูร้อน เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปเรียนที่สหรัฐ เป็นต้น
การทำบัญชีรับจ่ายฉันได้ยินเรื่องนี้มาจากเพื่อนของคุณแม่เล่าให้ฟัง ก็สนใจและนำมาทำเมื่อกว่าสิบห้าปีมาแล้วโดยการไปซื้อสมุดลงบัญชีเล่มเล็กๆมีขายทั่วไปมาจดบันทึก ทำให้เรารู้รายรับรายจ่าย และยังเป็นบันทึกที่ดี มากว่าเราใช้เงินทำอะไรบ้าง คือเราสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เช่นเราซื้อของชิ้นนี้ตั้งแต่เมื่อไร ราคาเท่าไร มาเปรียบเทียบราคาปัจจุบันได้ เชื่อหรือไม่ว่าเงินใช้ไปแล้วจะจำไม่ได้ว่าเงินหายไปไหน และฉันก็สอนให้ลูกทำด้วยตั้งแต่เขาทำงานมีรายได้เป็นของตัวเอง ฉันว่าไม่ได้เป็นเรื่องยากลำบากที่จะลงบันทึกทุกวันตอนเย็น แรกๆอาจจะลืม ควรทำให้ติดเป็นนิสัยจนถ้าไม่ได้ทำจะรู้สึกว่าขาดอะไรไป ทุกวันนี้ในวัยเลขห้า ฉันผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร ฉันภูมิใจที่ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิตรอดปลอดภัยมาได้ ลูกฉันจบการศึกษาปริญญาตรีจากเอแบค มีงานทำที่ดี ฉันมีเงินเก็บก้อนหนึ่งไว้ให้เขาถ้าจะเรียนต่อปริญญาโท และมีเงินเก็บสำหรับชีวิตหลังเกษียณของตัวเอง ซึ่งเงินก้อนนี้จะยังงอกเงยไปเรื่อยๆตราบใดที่ยังทำงานอยู่ แม้จะไม่ใช่เงินก้อนใหญ่แต่ฉันคิดว่าพอเพียงหากฉันดำเนินชีวิตแบบพอเพียงนี้ต่อไป ฉันไม่ได้มีบ้านใหญ่โต บ้านของฉันคือ Home ที่มีลูกที่เป็นคนดีของแม่และสังคม รถยนต์ก็ใช้มา 4 ปีแล้วคงใช้ต่อไปเรื่อยๆ ฉันว่าฉันมีครบทุกอย่างในการใช้ชีวิต ฉันมีความสุขในวันนี้เพราะยึดความพอเพียงเป็นหลักในการดำเนินชีวิต
|