ประวัติความเป็นมาของลายซิ่นทิว
ซิ่นทิวเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของคนไทยอีสานตอนล่างของประเทศไทย มีวิธีการสร้างลายผ้าไหมด้วยวิธีการแบบโบราณ การทอผ้าไหมได้สืบต่อกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ และมีเรื่องเล่าสืบทอดกันมาซึ่งคนไทยภาคอีสานตอนล่าง เช่น สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ได้มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมาแต่โบราณ การปลูกหม่อนในสมัยนั้นจะปลูกหม่อนพันธุ์พื้นเมืองเพราะทนทานต่อความแห้งแล้งและไม่เป็นโรค เรียกว่าหม่อนน้อยและพันธุ์ตาดำ ชาวบ้านนิยมเลี้ยงไหมพันธุ์พื้นบ้านโดยจะต่อพันธุ์เอง ลักษณะการเลี้ยงไหมจะเลี้ยงใต้ถุนบ้าน ความเชื่อของคนสมัยโบราณมีวิธีป้องกันโรคตามความเชื่อของชาวบ้านแถบนั้นคือ การหารกแมวมาแขวนเหนือชั้นวางกระด้งหรือภาษาทางภาคอีสานเรียกว่า แควง วางไว้ใต้ถุนบ้านเพราะอุปกรณ์การทอผ้าไหมทั้งหลายจะวางอยู่ใต้ถุนบ้านทั้งหมด
ซิ่นทิวนั้นถือว่าเป็นผ้าไหมมงคลจะใช้ในพิธีแต่งงาน เพื่อใช้เป็นเครื่องสมมา (ขอขมา) แก่ญาติฝ่ายชาย เพราะซิ่นทิวจะถูกจัดเป็นผ้าไหมพิเศษ คือเอาไปขอขมาผีทางฝ่ายแม่ผู้ชาย (ขึ้นผี) ส่วนสิ่งที่จะนำไปขึ้นผีของคนไทยอีสานนั้นคือ ซิ่นทิว มีตีนซิ่น ห้าชั้นติดชายผ้าวิ่น ดอกไม้ ธูปเทียน ขัน 5 ขัน 8 ตามแต่ความเชื่อของคนในหมู่บ้าน ผู้ใช้ผ้าซิ่นทิวมักอยู่ในวัยกลางคนขึ้นไปไม่นิยมในกลุ่มหนุ่มสาว ถือกันว่าซิ่นทิวเป็นผ้าซิ่นผู้เฒ่า ปัจจุบันไม่นิยมทอเพราะขั้นตอนการผลิตยุ่งยากมาก ผู้สูงอายุยังใช้ซิ่นทิวกันอยู่แต่ไม่มากนัก ต่อมาช่างทอผ้าบางคนได้นำเทคนิคใหม่ๆ เข้ามาสอดแทรก คือการมัดหมี่มาทอเป็นทางพุ่งเพื่อเป็นการผสมผสานกันเทคนิคผ้าซิ่นทิวด้วย กลายเป็นวิวัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของผ้าซิ่นทิว
การทำผ้าไหมคนไทยภาคอีสานตอนล่าง ซิ่นทิวมีการทำด้วยเส้นไหมหรือเส้นฝ้ายบางครั้ง เส้นยืนเป็นเส้นไหมแต่เอาเส้นฝ้ายทอเป็นเส้นพุ่ง เส้นไหมที่คนสมัยนั้นใช้ทอซิ่นทิวจะเป็นเส้นไหมสาวเลย เส้นไหมพุ่งจะเป็นเส้นไหมสืบหรือเส้นไหมขี้กระเพย คนโบราณพูดกันมานานแล้วถ้าใช้เส้นไหมพวกนี้ทอผ้าแล้วผ้าจะหนาดีกว่าเส้นไหมน้อย ซิ่นทิวมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเนื่องจากเป็นผ้าซิ่นลายขวางทางยืนที่มีช่วงลายสม่ำเสมอเป็นช่วงๆ โดยผู้ทอผ้าซิ่นทิวหรือผู้ทำผ้าซิ่นทิวจะต้องมีความจำอย่างแม่นยำในการนับเส้นไหมตามแบบลายผ้าซิ่นทิว ลายของผ้าซิ่นทิวจะมี 3 สีรวมมัดหมี่เป็นสีที่ 4 เท่านั้น เช่นสีแดงได้จากครั่ง สีดำได้จากมะเกลือ สีเขียวได้จากใบสมอ จุดเด่นของผ้าซิ่นทิว คือ ลายขวางหรือมัดหมี่เป็นจุด มองไปแล้วจะเป็นจุดที่ทำให้เด่นมากและการหลืบสีจากสีธรรมชาติของเส้นไหมที่ได้จากธรรมชาติ
การทำผ้าซิ่นทิวจะต้องค้นเส้นยืนให้คบฟืมที่เราจะทอ แล้วนำไปทำการแยกที่จะทำลายผ้า การทำลายผ้าซิ่นทิวจะต้องมีการนับเส้นไหมหรือแยกเส้นไหมไปตามลายที่มีแบบอยู่แล้ว การนับต้องมีความแม่นยำเป็นพิเศษพอนับเส้นไหมเสร็จแล้วก็นำเส้นขึงให้ยาวและแยกออกเป็นสีที่จะย้อมหรือมัดหมี่ด้วย การมัดหมี่ให้มัดตามความพองามและสวยงามตามความต้องการของช่างทอผ้า แล้วนำไปย้อมสีที่เตรียมไว้ ถ้าย้อมเสร็จทุกสีให้ผึ่งให้แห้งแล้วนำไปแยกออกและแกะเชือกที่มัดหมี่ออกด้วย แล้วแยกตามที่ขึงยาวไว้เวลาขึงหรือแยกออก ความสวยงามก็จะเกิดขึ้นในเวลานั้นทันที การทำผ้าซิ่นทิวมีปัญหาอยู่มากเนื่องจากการนับเส้นไหมหรือแยกเส้นไหมไม่ถูกก็จะทำให้ผ้าซิ่นทิวผิดด้วย และวิธีที่จะแก้ไขจะมีการแก้ยากมาก เพราะความยาวของเส้นยืนทำให้ลำบากหรือมัดหมี่จะไม่เป็นเกร็ดสวยงามตามความต้องการ ผ้าซิ่นทิวไหมเป็นผ้าสีสวยงามตามความงามแบบโบราณและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวผ้าไหมเอง ผ้าชนิดนี้พบเห็นอยู่ที่ นางบุญมา เกษกุล บ้านโปร่งสามัคคี ต.โคกจาน
อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ เป็นผู้สืบทอดต่อมาจากคุณแม่ของท่านเอง
ความสำคัญ
ผ้าซิ่นทิวไหมเป็นผ้าที่สร้างลวดลายแบบโบราณที่ใช้สีธรรมชาติในการย้อม ซึ่งเป็นผ้าที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรม คนอีสานตอนล่างจัดเป็นผ้าชนิดพิเศษที่ใช้ในงานพิธีกรรม ปัจจุบันมีการผลิตผ้าซิ่นทิวหลายแบบ มีทั้งแบบประยุกต์ และใช้ฝ้ายเป็นส่วนประกอบ ซึ่งการผลิตไม่มีความซับซ้อนเหมือนแบบโบราณ เนื่องจากการผลิตผ้าซิ่นทิวไหมแบบโบราณผู้ทอจะมัดหมี่เส้นไหมที่เส้นยืน(ลายเม็ดข้าวสาร) ซึ่งต้องใช้ความชำนาญและทักษะขั้นสูงในการผลิต จึงจะได้ผ้าซิ่นทิวไหมที่มีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว การผลิตผ้าซิ่นทิวไหมในปัจจุบันผู้ทอจะประยุกต์โดยไม่มีการมัดหมี่เส้นไหมที่เส้นยืน จึงทำให้ผ้าซิ่นทิวไหมที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมสูญหายไป ดังนั้น เพื่อให้ผ้าซิ่นทิวไหมแบบโบราณอยู่คู่กับวัฒนธรรมคนอีสาน ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (ศรีสะเกษ) เห็นควรให้มีการสืบทอดผ้าซิ่นทิวไหมที่เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณให้อยู่คู่กับสังคมไทยปัจจุบันตลอดไป และผู้ที่สามารถถ่ายทอดความรู้ในการผลิตผ้าซิ่นทิวไหมแบบโบราณให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและสามารถนำไปผลิตได้ในปัจจุบัน คือ นางบุญมา เกษกุล บ้านโปร่งสามัคคี ต.โคกจาน อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ
ยืนแถวนี้ คือทางน้ำไหล
แถวถัดไป คือหวายฟั่นแว่น
เขียวเลื่อมแล่น คือไผ่ร่วงป่า
แดงครั่งแล ทั่วผินฟ้า
เป็นลายแม่บุญ ไว้เป็นจงดี
ไหมแน่นี้ คือไหมซิ่นทิว
ไม่มีความเห็น