งานให้บริการผู้ป่วยเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะความรู้ ความสามารถ ความเอาใจใส่ ความละเอียดรอบคอบ การประสานงาน การสื่อสาร ค่อนข้างมาก ไหนภาระงานล้นมือจนแทบไม่ได้รับประทานอาหารตรงตามเวลา บ่อยๆที่พบว่าเป็นผู้ป่วยที่ยุ่งยากเหลือเกิน ไม่เคยปฏิบัติตามคำแนะนำเลยหรือปฏิบัติบ้างแต่ไม่ทั้งหมด เมื่ออาการเพิ่มมากขึ้นก็กลับมาหาเราอีกด้วยปัญหาที่เราอธิบายแล้วอธิบายอีก ถ้าเจอแบบนี้ส่วนใหญ่ทำอย่างไรกัน แต่ฉันคิดว่าถ้าท่านได้อ่านเรื่องราวคนไข้รายนี้อาจทำให้ท่านพอมีคำตอบให้กับตัวเองได้บ้าง
วันนี้ก็เป็นเหมือนเช่นทุกวัน มีผู้ป่วยรายหนึ่งที่แพทย์ส่งมาทำกายภาพบำบัดด้วยโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน เป็นผู้ป่วยชายไทยอายุ 30 ปี มีอาการปวดหลังร้าวลงขาขวามาก เดินตัวเอียงมาด้านซ้าย มือจับบริเวณบั้นเอวตลอด ร้องโอดโอยเป็นระยะ หน้าตาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดมาก ประมาณด้วยสายตา ระดับความเจ็บปวดเต็ม 10 หลังจากตรวจร่างกายเสร็จก็วางแผนการรักษาทางกายภาพบำบัดให้ผู้ป่วย วางแผ่นร้อน ใช้เครื่องอบไฟฟ้าก่อนรอให้อาการปวดลดลงก่อนค่อยเพิ่มการดึงหลังวันหลัง จากนั้นก็นัดผู้ป่วยมาทำกายภาพบำบัดซ้ำอีกพร้อมแนะนำวิธีปฏิบัติตัวที่บ้าน
แรกๆผู้ป่วยปฏิเสธแต่ฉันก็ได้พยายามอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบถึงความสำคัญของการทำกายภาพบำบัดต่อเนื่องเพราะจากอาการระยะยาวอาจทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตขาได้ ผู้ป่วยก็รับปากแบบไม่ค่อยเต็มใจเพราะห่วงต้องออกไปทำมาค้าขาย พอถึงวันนัดผู้ป่วยไม่มาตามนัด ฉันก็คิดว่าผู้ป่วยคงปวดมากมาไม่ไหว และเมื่อวันนัดต่อมา ผู้ป่วยขาดนัดอีก ฉันเลยเริ่มมั่นใจว่าผู้ป่วยขาดการรักษาทางกายภาพบำบัดแน่นอนจะเป็นด้วยสาเหตุอันใดไม่สามารถบอกได้ แต่ถ้าให้ประเมินอาการปวดค่อนข้างสูงน่าจะหาทางไปรักษาอย่างอื่น ในใจส่วนหนึ่งก็คิดช่างเถอะไม่เห็นความสำคัญของการรักษา คนไข้ดื้อ แต่ในใจลึกๆก็คิดเป็นห่วงผู้ป่วยอยู่เหมือนกัน
หนึ่งเดือนต่อมาได้มีโอกาสลงพื้นที่ไปเยี่ยมบ้านผู้พิการ จำได้ว่าผู้ป่วยรายที่เรายังคงกังวลใจเรื่องอาการปวดด้วยอยู่พื้นที่นี้ จึงสอบถามข้อมูลพี่สถานีอนามัย ได้ข้อมูลว่าผู้ป่วยปวดหลังและเป็นคนชอบดื่มสุรา มีอาชีพหลักรับซื้อผักสวนครัวไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง ซึ่งต้องออกไปขายทุกวันแต่หลังจากขายแล้วก็จะเอาเงินที่ได้ไปดื่มสุรา ตอนนี้ภรรยาก็เพิ่งจะคลอดลูกคนที่สองได้ไม่กี่วัน ภรรยาก็แยกไปอยู่กับยายอีกตำบลหนึ่งเนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถดูแลได้
จากนั้นพี่สถานีอนามัยก็พาไปเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้าน เมื่อไปถึงบ้านผู้ป่วยกำลังจะเตรียมข้าวของขึ้นรถ ฉันจึงได้สอบถามผู้ป่วยจะไปไหนกัน ผู้ป่วยบอกว่ากำลังจะไปโรงพยาบาลเอกชนที่ต่างจังหวัดเพื่อพบแพทย์ จึงสอบถามว่าพบแพทย์ด้วยเรื่องใดใช่โรคปวดหลังไหม ผู้ป่วยให้ข้อมูลว่าไม่ใช่ เป็นโรคตับอักเสบ แพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนนัดทุกสัปดาห์ ได้รับยา 4 ซอง เลยสอบถามต่อว่าค่าใช้จ่ายแพงไหม ผู้ป่วยบอกว่าตั้งแต่ป่วยค่ารักษา 1 เดือนเกือบสองแสนบาท พอได้ฟังก็ตกใจ โอโฮค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชนแพงจังเลย ขนาดเราเป็นข้าราชการมีเงินเดือนยังไม่กล้าเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนเลย เลยเริ่มสงสัยค่ายาอะไรแพงจังเลย แล้วโรงพยาบาลเราน่าจะมียานี้นะ สอบถามผู้ป่วยวางแผนการดูแลตัวเองอย่างไร ผู้ป่วยจะยังคงไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนเพื่อรักษาโรคตับอักเสบ และฉันได้แนะนำผู้ป่วยทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลต่อพร้อมกับบอกว่า“ หมอเป็นห่วงเลยตามมาเยี่ยม ถ้าไงหมอจะคอยอยู่ที่โรงพยาบาลนะ ” จากนั้นก็ขอตัวไปเยี่ยมผู้พิการรายอื่น
ผ่านไป 1 สัปดาห์ผู้ป่วยก็กลับมาทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลต่อเนื่อง จนอาการที่หลังดีขึ้นมาก และยอมนำยาจากโรงพยาบาลเอกชนมาให้แพทย์ที่โรงพยาบาลเราดู และเริ่มรักษาโรคตับอักเสบที่โรงพยาบาลของเรา ภรรยากับลูกก็กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเพื่อให้กำลังใจผู้ป่วย เฮ้อ....สำเร็จแล้ว ในที่สุดผู้ป่วยก็ใจอ่อนให้กับความพยายามไม่ย่อท้อของเรา
จากการดูแลติดตามผู้ป่วยรายนี้ทำให้ตัวฉันเองเห็นถึงความสำคัญว่างานให้บริการในโรงพยาบาลสำคัญยิ่ง ถ้าเราให้ความสนใจกับผู้ป่วยรายที่ยากหรือดื้อในความคิดเรา อย่างน้อยเราจะเข้าใจในความเจ็บป่วยของเขาและผู้ป่วยเราก็จะได้รับการดูแลและไม่หายไปจากระบบ ฉันยังเคยคิดว่าถ้าฉันทำเป็นลืมผู้ป่วยรายนี้ ป่านนี้ผู้ป่วยอาจต้องขายบ้านเพื่อไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแน่ๆจากที่ขายรถแล้ว ทั้งๆที่การรักษาหรือยาที่โรงพยาบาลชุมชนของเราก็มี อยากชักชวนพี่น้องชาวสาธารณสุขเราว่า ถ้าเรามีผู้ป่วยที่พูดยากมารับบริการที่โรงพยาบาล เราอาจจะเหนื่อยและเบื่อในการให้การดูแล แต่อย่าท้อนะค่ะ เขาเหล่านี้น่าสงสาร มีความทุกข์ยากมากมายเกินกว่าจะมาเล่าให้หมอฟังในระยะเวลาอันน้อยนิด รับฟังเขา เข้าใจเขาเริ่มแค่นี้ก็ช่วยเขาได้เยอะแล้ว รายนี้เป็นรายแรก ต่อไปต้องมีรายสอง รายสามแน่นอน เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
เล่าเรื่องโดย นวดี เทศศรีเมือง นักกายภาพบำบัด
ไม่มีความเห็น