ข้าพเจ้าจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้...ศาลาสี่ดูคล้ายศาลาร้าง จะมีแต่เด็กๆ ที่ถูกส่งตัวมาฟื้นฟูยาเสพติดที่วัด ใช้เป็นสถานที่ในภารกิจของการฟื้นฟู...
และก็ไม่มีใครๆ ที่อยากจะเดินมาที่นี่
เมื่อผ่านไป...ความไม่ย่อท้อต่อการทำงานทางด้านการบ่มเพาะพลังชีวิตด้านดีที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมของพระอาจารย์ที่มีต่อเด็กๆ เติบกล้าขึ้นสภาพที่ปรากฏ ณ แวดล้อมศาลาสี่เปลี่ยนไป สายตาของชาวบ้าน คนวัด พ่อออกแม่ออกที่มองเด็กๆ ยาเสพติดเปลี่ยนไป อ่อนโยนขึ้น ท่าทีปฏิบัติก็เปลี่ยนไปดูอบอุ่นคล้ายเป็นลูกหลานมากขึ้น นี่คือปราฏการณ์การให้โอกาส
เด็กๆ...ที่นำพาโดยพระอาจารย์ก็ยังคงไม่หยุดยั้งต่อการทำความดีต่อวัด ต่อชุมชน ต่อพุทธศาสนา
หลายๆ รุ่นผ่านไป...จากที่ทราบข่าวต่างล้วนมีการเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นหลายคน แต่ก็อาจมีบ้างบางคนที่ชีวิตก้าวถอยหลังหรือยังถลำไปบนเส้นทางแห่งอบายภูมิอยู่...แต่โดยภาพรวม ๖๐ วันที่อยู่ที่นี่เด็กๆ ได้สิ่งดีดีติดตัวกลับไป บางคนก็เกิดเป็นนิสัยใหม่ เป็นคนใหม่ไปเลยก็มี
ณ ตอนนี้ที่ศาลาในแต่ละวันจะมีกิจกรรมต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะใช้เป็นสถานที่ทำวัตรเช้า วัตรเย็นของเด็กๆ เป็นที่ศูนย์รวมของผู้คนเมื่อย่างก้าวเข้ามาในวัดก็จะต้องเดินมาที่นี่ เพราะที่นี่ดูเป็นชีวิต... เด็กเหล่านี้ผ่านการใช้สารเสพติดมาก็จริง แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วเขาเหล่านี้ไม่ใช่คนชั่วร้าย หากแต่คือบุคคลที่มีโอกาสจะพลิกฟื้นตัวกลับมาเป็นคนดีได้ทุกลมหายใจ และที่แน่ๆ พลังแห่งความดีของพวกเขาก็ยังมีอยู่อย่างมากพอ...
และเวลาก็เป็นสิ่งพิสูจน์ สองเดือนของการอยู่วัดตลอดเวลาเขาต่างได้สะท้อนภาพว่า ความดียังมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมอย่างมากในตัวและจิตใจของเขา ... ผ่านผลงาน อุปนิสัย และการกระทำที่แสดงออกมา สะท้อนถึงความมีภาวะแห่งการสำรวมกาย วาจา และใจมากขึ้น
หลายคนเริ่มมองเห็น และเข้าใจ และต่างยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ อนุเคราะห์เด็กๆ...เหล่านี้
แล้วเรา...ก็ได้คนดีคืนกลับสู่ครอบครัว บ้าน และชุมชน...
นี่คือ...ภาระแห่งการบ่มเพาะความดีงามด้วยคุณธรรมและศีลธรรมให้มีขึ้นในหัวใจของเด็กๆ ที่ครั้งหนึ่งถูกตีตราว่าเป็นเด็กยาเสพติด แต่วันนี้...เขาคือบุคคลที่กล้าก้าวออกไปสู่โลกด้วยการพิสูจน์พลังแห่งความดีที่มีอยู่...
๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๔