ธาตุคือปรากฏการณ์ของอวกาศ
ธาตุ ๖ ได้แก่ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ และวิญญาณธาตุ ในความเห็นผู้วิจัย น่าจะแบ่งออกเป็นแค่ ๒ ธาตุ คือ ๑) อากาศธาตุ และ ๒) วิญญาณธาตุ เท่านั้น ดังที่จะอธิบายดังนี้
๑. อากาสธาตุ : เป็น ธาตุที่ให้กำเนิดธาตุทั้ง ๔ เมื่อมองในมุมมองของวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะนำทฤษฎีสตริง (String Theory) มาจับ ในทฤษฎีนี้เชื่อว่าสรรพสิ่งที่เป็นทั้งสสารและพลังงานเกิดมาจากเส้นใยเล็ก ๆชื่อว่า เส้นใยอวกาศ หรือ Fabric Space การเกิดของอีเลกตรอน โปรตอน และนิวเคลียส เกิดจาก ควาร์ก และในควาร์กก็เกิดจากเส้นใยที่เต้นเร่า ๆ พันกันเป็นปม ทำให้เกิด ควาร์กนั่นเอง จากนั้นก็เป็นอะตอม โมเลกุลและสสาร
สสารและแร่ธาตุต่าง ๆ มีคุณสมบัติของธาตุทั้ง ๔ คือ ปฐวี เป็นธาตุที่มีลักษณะที่แข็ง อาโป เป็นธาตุที่มีลักษณะไหลลื่น วาโย เป็นลักษณะเป็นก๊าซ และเตโช เป็นลักษณะที่ให้ความร้อนได้หรืออาจเรียกว่าเป็นความร้อนแฝง ซึ่งมีอยู่ในธาตุทุก ๆ ธาตุในจักรวาล
ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ว่าด้วยเรื่อง กาล-อวกาศ (Time –Space) กล่าวว่า อวกาศมีตัวตน เพราะสังเกตได้จากแสงเดินทางตามอวกาศ (Space) ซึ่งจะเห็นได้ชัดเมื่อแสงเดินทางผ่านวัตถุที่มีมวลมาก จะโค้งงอตามอวกาศที่ยุบลงไปจากมวลของดาวดวงนั้น ทำให้แสงเดินทางอ้อมวัตถุนั้น ๆ
ภาพลำแสงโค้งงอเมื่อผ่านวัตถุขนาดใหญ่
๒. วิญญาณธาตุ : เป็นธาตุที่เราเรียกว่าธาตุรู้ หรือจิต นั่นเอง ซึ่งมีเจตสิกเป็นองค์ประกอบถึง ๕๒ ลักษณะ ในทางพรพุทธศาสนาเชื่อว่าวิญญาณหรือจิตนั้นมีจริง และเป็นส่วนหนึ่งในปรมัตถธรรมหรือความจริงทั้ง ๔ ได้แก่ รูป จิต เจตสิก และนิพพาน
ดังนั้นจากการวิเคราะห์ตามปรมัตถธรรมแล้ว รูป หมายถึง อวกาศ คือ อากาสธาตุ และ จิตกับเจตสิก คือวิญญาณธาตุ ถ้าว่าตามปรมัตถธรรมยังขาดนิพพาน ซึ่งในคัมภีร์กล่าวว่านิพพานเป็นธาตุอย่างหนึ่ง ดังพุทธพจน์ว่าไว้
“. . . คราวที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ แผ่นดินนี้ ก็ไหวสั่นสะเทือน เลื่อนลั่น นี้เป็นเหตุปัจจัยประการที่ ๘ ที่ทำให้ เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง” [๑]
“. . . แม้หากภิกษุจำนวนมากปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ก็ไม่ทำให้นิพพานพร่องหรือเต็มได้ เหมือนแม่น้ำสายใดสายหนึ่งในโลกที่ไหลรวมลงสู่มหาสมุทร และสายฝนตกลงจากฟากฟ้า ก็ไม่ทำให้มหาสมุทรพร่องหรือเต็มได้” [๒]
เมื่อมองภาพที่ใหญ่ขึ้นจักรวาลคือรูป ส่วนจิตคือส่วนของนาม สภาวะนิพพานคือสภาวะที่ไร้การปรุงแต่งหรือปรุงแต่งไม่ได้ การปรุงแต่งควรหมายถึงการปรุงแต่งทางรูป หมายถึงจิตไปเสพย์ภพชาติ หรือเรียกว่าจักรวาล กลไกของการเสพย์มีความวิจิตรพิสดารมาก และจิตไม่มีกาลเวลาตามโลกและจักรวาล ไม่คิดยึดกับสถานที่ (อวกาศ) เช่นตายแล้วเกิดเลยไม่ว่าดินแดนนั้นจะไกลขนาดไหนก็ไปเกิดโดยทันทีที่ตายลงไป ตายที่ประเทศไทยไปเกิดอีกซึกโลกหนึ่งทันทีแม้แต่แสงยังเดินตามไม่ทัน
จากเหตุผลที่กล่าวมานี้จิตจึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของจักรวาล เป็นเพราะจิตที่มีกิเลสครอบงำจึงยึดมั่นในภพภูมิที่เกิดและตามวิบากในส่วนหนึ่ง การที่จะหลุดทางพันธนาการได้นั้นต้องอาศัยนิพพานธาตุ ซึ่งทางพระพุทธศาสนา มีวิธีการ คือ สติปัฏฐาน ๔ เพื่อให้เห็นในไตรลักษณ์ แล้วจิตจะคลายความยึดมั่นในจักรวาลเพราะเกิดวิมุตติ เกิดวิราคะเองโดยอัตโนมัติ
ไม่มีความเห็น