เวทีนโยบายสาธารณะเรื่อง การเสริมสร้างสันติสุขใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
14 กรกฎาคม 2548
ผศ.ภก.พงค์เทพ สุธีรวุฒิ
สถาบันวิจัยระบบสุขภาพภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
การพัฒนาสันติสุขแบบบูรณาการโดย นพ. ประเวศ วะสี
เข้าใจ เข้าถึง และร่วมพัฒนา คือแนวทางตามพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัว การพัฒนาให้เกิดสันติสุขท่ามกลางความเป็นพหุวัฒนธรรมของพื้นที่ จำเป็นต้องพัฒนาแบบบูรณาการบนพื้นฐานชุมชนเข้มแข็ง โดยฟื้นและสร้างทุนทางสังคมซึ่งได้แก่ ทุนอันมาจากพลังความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทุนจากการเข้าถึงหัวใจของศาสนา ทุนที่ได้จากการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น นำไปสู่เศรษฐกิจชุมชน รวมถึงทุนจากการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ จะต้องบูรณาการโครงสร้างที่มีอยู่ในชุมชนให้เกิดพลังการขับเคลื่อนตามแนวคิดสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา คือ โครงสร้างที่เป็นภาคความรู้ได้แก่กลุ่มโต๊ะครู กลุ่มครูสอนศาสนา ภาคประชาสังคมได้แก่กลุ่มโต๊ะอิหม่าม และภาคการเมืองได้แก่คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด หากโครงสร้างทั้ง 3 ภาคส่วนเชื่อมรวมพลังกัน ผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ เช่น ทำให้เกิดแผนแม่บทชุมชนบูรณาการ ก็จะทำให้เกิดสันติสุขได้ทางหนึ่ง
การพัฒนาดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ คนไทยจะต้องมีหลักคิด 4 เรื่องคือ เรื่องแรกจะต้องเปลี่ยนคำถามของสังคมไทย จากจะทำอย่างไรจึงจะรวยเป็นจะทำความดีได้อย่างไร เป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของการดำเนินชีวิตสู่แนวทางที่ถูกต้อง เรื่องที่สองคือการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ให้ความสำคัญกับความเป็นธรรม ความเสมอภาค ความรักความเอื้ออาทรต่อกัน เรื่องที่สามคือจะต้องเชื่อว่าพลังจากชุมชนเข้มแข็งจะขับเคลื่อนสังคมได้ จะต้องทำให้พลังในแนวราบขยายเพิ่มมากขึ้นเสริมพลังในแนวดิ่งที่มีอยู่เดิม และเรื่องสุดท้ายคือ จะต้องพยายามกันขับเคลื่อนเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็ง เริ่มจากเครือข่ายเล็กๆขยายออกอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
กลไกสำคัญที่จะทำให้เกิดการบูรณาการ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างพื้นที่เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยการจัดเวทีในระดับต่างๆ และต้องสร้างกลไกหรือช่องทางการเชื่อมประสาน ถักทอ กับภาคส่วนต่างๆ
ประสบการณ์และข้อเสนอ ในการเสริมสร้างสันติสุขของเครือข่ายภาคประชาสังคม
ประสบการณ์และข้อเสนอในการเสริมสร้างสันติสุข ของเครือข่ายประชาสังคมต่างๆมีดังต่อไปนี้
เครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง (วศิน สาเมาะ) ซึ่งทำงานในพื้นที่ทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การพัฒนาแบบบูรณาการ จะต้องมีเป้าหมายเพื่อสุขภาวะตามวิถีชีวิตมุสลิม และใช้กระบวนทัศน์อิสลามเพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนา อันได้แก่
· อิมบาดัต คือ การเข้าถึงหัวใจของศาสนา และใช้ พิธีกรรมทางศาสนาสู่ชุมชนมุสลิมเป็นสุข
· สร้างเศรษฐกิจชุมชนมุสลิมที่เข้มแข็ง เช่นการสร้างเสริมอาชีพบนฐานท้องถิ่น และการมีกองทุนซากาต
· ด้านสังคมวัฒนธรรม เช่น วางกฎกติกาชุมชน มีการตัดสินข้อถกเถียงทางศาสนา โดยมีสภาซูรอ และการเปิดพื้นที่ทางสังคมให้มากขึ้น
· ด้านการศึกษา ควรสร้างศูนย์วิถีชีวิตชุมชน เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ในชุมชน
นอกจากนี้จะต้องพัฒนาระบบการบริหารจัดการสู่ชุมชนเป็นสุขโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน
เครือข่ายครูเพื่อชุมชน (กรีฑา แดงดี) เห็นว่ามี 2 แนวทางสำคัญในการทำงานของเครือข่ายครูคือ
แนวทางแรกเป็นการสร้างความเข้มแข็งขององค์กรครู ณ สถานการณ์ปัจจุบันต้องเร่งสร้างขวัญกำลังใจ ควบคู่กับการพัฒนา โดยเรียกร้องให้รัฐมีความเข้าใจ และมีความจริงใจ ต่อการป้องกันชีวิตแก่บุคลากรครู โดยมีระบบการรักษาความปลอดภัยและสร้างแรงจูงใจ เช่นการจัดสวัสดิการ ค่าตอบแทน เงินเสี่ยงภัย และให้ความมั่นคงในอาชีพ เช่น การบรรจุเป็นข้าราชการ
แนวทางที่สองเป็นการสร้างความเข้มแข็งของระบบการจัดการเรียนการสอน ซึ่งมีองค์ประกอบที่ต้องพัฒนาแบบบูรณาการใน 3 ส่วนที่สำคัญเชื่อมโยงกัน คือ ครู นักเรียน และ ชุมชน โดยใช้การจัดการการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับวิถีศาสนา วัฒนธรรม ซึ่งต้องปรับหลักสูตรและกิจกรรม นอกจากนี้จะต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อวิถีศาสนา เช่น การจัดห้องละหมาดที่สมบูรณ์ในโรงเรียน
เครือข่ายวิชาการเพื่อชุมชน (นุกูล รัตนดากุล) สะท้อนให้เห็นภาพความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร ธรรมชาติของภาคใต้ ซึ่งจะคงอยู่อย่างยั่งยืนได้ ชุมชน ต้องร่วมมือกันอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลามที่ว่าปลาไม่มีวันหมดจากน้ำ นกไม่มีวันหมดจากฟ้า หากศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นการยึดมั่นในหลักศาสนาจะเป็นแนวทางในการรักษาทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน นอกจากนี้จากการศึกษาแผนที่ภูมิปัญญาอ่าวปัตตานี พบว่าพื้นที่แหล่งนี้เต็มไปด้วยองค์ความรู้ เป็นทุนทางสังคมที่สำคัญเช่นกัน หากสามารถใช้ภูมิปัญญาและความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ เป็นฐานการสร้างภูมิคุ้มกันทางด้านจิตวิญญาณ เพื่อป้องกันการเบียดเบียน ป้องกันการครอบงำจากฝ่ายที่ไม่ประสงค์ดี ก็จะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้ภาคใต้เกิดสันติสุข
เครือข่ายองค์กรมุสลิมเพื่อสันติภาพ (มุกตาร์ กีละ) เชื่อว่า มนุษย์เกิดมาเพื่อให้รู้จักและสัมพันธ์กัน จึงจำเป็นจะต้องเข้าใจ ต้องเรียนรู้วิถีชีวิตของตนเอง และของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ปัจจุบันพบว่าแม้แต่คนในพื้นที่ยังมีความเข้าใจในวิถีอิสลามที่แท้จริงแตกต่างกัน ทำให้เกิดปัญหาทางสังคมซับซ้อนขึ้น เช่น บทบาทเพศหญิงถูกกดขี่ คุณภาพของคนในพื้นที่ไม่ได้รับการพัฒนา ทำให้ถูกชักจูงได้ง่าย
ที่ผ่านมาสังคมในชายแดนภาคใต้ เป็นสังคมที่ใช้ความเห็น หรือการสอนโดยขาดองค์ความรู้ ขาดข้อมูลที่แท้จริง ทำให้การบริหารบ้านเมืองและการแก้ปัญหาเป็นไปด้วยความยากลำบาก การจัดโครงสร้างการแก้ปัญหาวนเวียนแบบเดิม แก้ปัญหาไม่ได้ เช่น โครงสร้างกอ.สสส.จชต. ต้องสร้างโครงสร้างใหม่ และต้องเชื่อว่าความรุนแรงไม่เคยนำมาสู่ซึ่งสันติสุข
นอกจากนี้ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เห็นพ้องกันว่า
หากวันนี้มุสลิมในประเทศไทยจะหาแนวทางหรือจะคิดทำอะไรเพื่อประเทศและสังคมให้เป็นสังคมที่เดินไปด้วยกันกับสังคมต่าง ๆ โดยเฉพาะสังคมเพื่อนบ้าน จำเป็นต้องหันหน้ามาคุยกัน ต้องมีการสื่อสาร พูดคุยกับผู้นำทั้งหลายเพื่อขยายความสมานฉันท์
เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ (คนึง นวลศรี) เชื่อมั่นว่าการใช้หลักธรรมพุทธศาสนาจะเป็นแนวทางการแก้ปัญหา รวมถึงการสร้างกำลังใจ สร้างความเข้มแข็งรวมพลัง สร้างเครือข่าย โดยควรมีพื้นที่ เวที สำหรับการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
ท่านพระครูอุดม ธรรมทร วัดปิยาราม ต.ปิยามุมัง อ.ยะหริ่ง ได้ให้ความเห็นว่า พี่น้องชาวพุทธพร้อมจะยืนเคียงข้างกับพี่น้องไทยมุสลิม สร้างสรรค์ความดีให้เกิดขึ้นกับแผ่นดินนี้ โดยจะรักษาแผ่นดินนี้ไว้ด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ท่ามกลางหลากหลายวัฒนธรรม เพราะถ้ามีเพียงวัฒนธรรมใด วัฒนธรรมหนึ่ง เชื่อได้ว่าจะไม่สวยงาม คนเราจะอยู่คนเดียวบนโลกไม่ได้ ต้องอยู่ร่วมกัน เข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน สมัครสมานสามัคคีกัน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เครือข่ายแผนแม่บทชุมชนเพื่อการพึ่งตนเอง (โกเมศ ทองบุญชู) ที่ผ่านมาแผนแม่บทชุมชนเพื่อการพึ่งตนเองถือเป็นวิจัยชุมชน และเป็นแผนชีวิตชุมชน เป็นเครื่องมือให้คนในชุมชนมาเรียนรู้ กำหนดทิศทางร่วมกัน การเสริมสร้างสันติสุขจะเกิดขึ้นได้ชุมชนต้องเข้มแข็งและต้องสร้างแผนชีวิตชุมชนฝ่ายปกครองในพื้นที่ (คุณวินัย ครุวรรณภัทร ปลัดจังหวัดยะลา) ชี้แจงว่า การดำเนินงานในอันดับแรกคือการสร้างเอกภาพต่าง ๆ ในทุกระดับ ทั้งเอกภาพทางความคิดในการแก้ปัญหา เอกภาพในการปฏิบัติ นอกจากนี้พยายามสื่อสารให้สังคมภายนอกและต่างประเทศ เห็นว่า ประเทศไทยอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่เท่าเทียมกัน มีสิทธิ เสรีภาพ มีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน ในด้านสังคมจิตวิทยา พยายามปรับวิธีคิด ความเข้าใจระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชนเพื่อหาทางสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น
นอกจากนี้ คุณชาญวิทย์ วัชยางกูร รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี กล่าวถึงกิจกรรมของจังหวัดปัตตานีที่ดำเนินการต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยใช้ฐานคิดอยู่บนความหลากหลายของวัฒนธรรมอย่างชัดเจน และเชื่อว่าความยั่งยืนของวัฒนธรรมตรงนี้ จะต้องผสมผสานเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม ศาสนาทั้งสามส่วนคือพุทธ มุสลิม และคริสต์ ให้ได้ ส่วนการทำงานจะต้องร่วมกันจาก 3 ภาคส่วนคือพลเรือน ตำรวจ ทหาร ทั้งระดับ จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้านไม่มีความเห็น