พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความบริสุทธิ์ โดยหลักคำสอนมุ่งเน้นกระทำตนให้บริสุทธิ์ ปราศจากความชั่วทั้งปวงดังในโอวาทติโมกข์ หมายถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำหรับถือเป็นหลักปฏิบัติในแนวเดียวกัน เป็นหัวใจหลักของพระพุทธศาสนา มี ๓ ข้อ คือ การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว[1] หลักการทั้ง ๓ นี้ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนาซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางเป็นหลักปฏิบัติสำหรับพุทธศาสนิกชน พระธรรมกิตติวงศ์ได้อธิบายถึงหลักการทั้ง ๓ ว่าการไม่ทำบาปทั้งปวง หมายถึง เว้นจากทุจริต คือ ความประพฤติชั่วด้วยกาย วาจา ใจ ยังกุศลให้ถึงพร้อม หมายถึงประกอบสุจริต คือประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ และ ทำใจของตนให้ผ่องใส หมายถึงทำใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลงเป็นต้น[2] ดังนั้น ความประพฤติชั่ว ทางวาจา หรือ วจีทุจริต[3] ก็เป็นพฤติกรรมที่ไม่บริสุทธิ์ ก่อให้เกิดความชั่ว เป็นเครื่องมัวหมอง ซึ่งหากเกิดขึ้นกับบุคคลใด จะเป็นทางแห่งความเสื่อม เป็นกรรมหรือการกระทำที่ไม่ดีนำไปสู่อบาย วินิบาต นรก
วจีทุจริตเป็นวจีกรรมชนิดหนึ่ง[4] เป็นหนึ่งในทุจริต ๓ ประการ[5] เป็นการกระทำไม่ดีทางวาจา เป็นความประพฤติชั่วด้วยวาจาหรือ ประพฤติชั่วทางวาจา[6] มี ๔ ประการ[7] คือ
๑. พูดเท็จ (มุสาวาท)
๒. พูดส่อเสียด (ปิสุณวาจา)
๓. พูดคำหยาบ (ผรุสวาจา)
๔. พูดเพ้อเจ้อ (สัมผัปปลาปะ)
ตามหลักพระพุทธศาสนานั้นวจีทุจริตเป็นธรรมที่ทำให้เร่าร้อนดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “กายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต ธรรมเหล่านี้ชื่อว่าทำให้เร่าร้อน”[8] เป็นอกุศลธรรมที่ก่อให้เกิดโทษทั้งต่อตนเองและผู้อื่นดังที่ตรัสว่า “ก็ชนเหล่าใดประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตชนเหล่านั้นชื่อว่าไม่รักตน แม้ชนเหล่านั้นจะกล่าวอย่างนี้ว่า ‘เรารักตน’ ก็ตามชนเหล่านั้นก็ชื่อว่าไม่รักตน”[9] สำหรับผลผลของวจีทุจริตนั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในทุจจริตวิปากสูตร อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต[10]ว่า
“มุสาวาท (การพูดเท็จ) ที่บุคคลเสพ เจริญ ทำให้มากแล้ว ย่อม อำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งมุสาวาทอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้ถูกกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง แก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
ปิสุณาวาจา (การพูดส่อเสียด) ที่บุคคลเสพ เจริญ ทำให้มากแล้ว ย่อม อำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อ ำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งปิสุณาวาจาอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้แตกจากมิตรแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
ผรุสวาจา (การพูดหยาบคาย) ที่บุคคลเสพ เจริญ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งผรุสวาจาอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้ได้ฟังเรื่องที่ไม่น่าพอใจแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
สัมผัปปลาปะ (การพูดเพ้อเจ้อ) ที่บุคคลเสพ เจริญ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก อำนวยผลให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อำนวยผลให้ไปเกิดในเปรตวิสัย วิบากแห่งสัมผัปปลาปะอย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้มีวาจาที่ไม่น่าเชื่อถือแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์”
สำหรับโทษของวจีทุจริตนั้นปรากฏทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "เมื่อบุคคลทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ที่เรากล่าวว่า เป็นอกรณีกิจโดยส่วนเดียว อาทีนพดังต่อไปนี้ อันผู้นั้นพึง หวังได้ คือ: ๑. แม้ตนเอง ย่อมติเตียนตนได้ ๒. ผู้รู้ใคร่ครวญแล้ว ย่อมติเตียน ๓. ชื่อเสียงอันชั่ว ย่อมกระฉ่อนไป ๔. ย่อมหลงทำกาลกิริยา ๕. เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก"[11] หรือที่ตรัสไว้ว่า “หมู่สัตว์ที่ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต กล่าวร้ายพระอริยะ มีความเห็นผิด และชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นผิด พวกเขาหลังจากตายแล้วจะไปบังเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก”[12] จากหลักการที่กล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่าการละเว้นวจีทุจรติถือว่าเป็นจุดยืนที่สำคัญของพระพุทธศาสนา[13] ซึ่งคำสอนทำให้เกิดคุณงามความดีทั้งต่อตนเองและสังคม แต่ถ้าหากมนุษย์มีพฤติกรรมที่ เป็นไปในทางที่ไม่ดีเป็นการกระทำที่ตกไปในทางที่ชั่วนำมาซึ่งโทษภัยอันหาประมาณไม่ได้มาสู่ทั้งตนเองและสังคม ในส่วนการพูด หรือวาจาที่ก่อให้เกิดโทษควรจะสังวร
จึงกล่าวได้ว่าการพูดเป็นการสื่อสารอย่างหนึ่งของมนุษย์ ซึ่งถ้าคนในสังคมมีความสำรวมระวังในการพูดจา ละเว้นวจีทุจรติตามหลักการพระพุทธศาสนา การพูดนั้นย่อมย่อมนำความสงบสุขมาสู่สังคม ทำให้เป็นที่รักของผู้ที่เข้าใกล้ ดังนั้นการงดเว้นจากวจีทุจริตของคนในสังคม นับว่าเป็นกุศลกรรมบถซึ่งเป็นหลักคำสอนเรื่องของความดีในพระพุทธศาสนา ทำให้สังคมสงบสุข เป็นผลให้การอยู่ร่วมกันในสังคมมีความราบรื่น เป็นไปเพื่อการพัฒนาศักยภาพในด้านอื่น สังคมก็จะเจริญก้าวหน้า ก่อให้เกิดการพัฒนาทางด้านต่าง ๆ
********************************
[1]ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๘๓/๙๐.
[2] พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙,ราชบัณฑิต), พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ อธิบายศัพท์และแปลความหมายคำวัดที่ชาวพุทธควรรู้, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม, ๒๕๕๑), หน้า ๑๔๓๑.
[3] ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๖๐, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๖/๓๙๖, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๖๐, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๖๖/๖๑, ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๕/๑๗,ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๕/๒๘, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘/๒๕, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘/๒๕, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๖๑/๓๑๐, สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๗๐/๑๔๗, สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๕๒/๒๕๒, สํ.มหา. (ไทย) ๑๙/๑๘๗/๑๒๑, องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๒๙๑-๒๙๒/๓๖, องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๙/๑๔๗, องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๓๙/๒๐๐, องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๘๕/๑๒๙.
[4] ม.ม.อ. (ไทย) ๒/๕๗/๔๐.
[5] ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๖๐
[6] พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หน้า ๓๕๕.
[7] องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๔๘/๒๑๒, องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๒๒๑/๓๓๘.
[8] อภิ.สงฺ.(ไทย) ๓๔/๑๓๐๖/๓๒๙.
[9] สํ.ส.(ไทย) ๑๕/๑๑๕/๑๓๒.
[10] องฺ.อฏฺฐก.(ไทย) ๒๓/๔๐/๓๐๑-๓๐๒.
[11]อง.ทุก. (ไทย) ๒๐/๑๘/๗๑.
[12]ที.สี. (ไทย) ๙/๒๔๖/๘๓.
[13] ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๕๘/๑๑๙.
ไม่มีความเห็น