เซาท์เทิร์น ซีบอร์ด...ความขัดแย้งระลอกใหม่กำลังก่อตัว


ที่มา : ศูนย์ข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา

ที่ มา : ศูนย์ข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา

    เมื่อเร็วๆ นี้ เครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูลได้เคลื่อนไหวชุมนุมคัดค้าน โครงการก่อสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมปากบารา หรือที่ชาวบ้านเรียกกันสั้นๆ ว่า "ท่าเทียบเรือปากบารา" ซึ่งรัฐบาลวาดฝันว่าจะให้เป็นท่าเรือน้ำลึกแห่งสำคัญทางฝั่งทะเลอันดามัน

    ขณะที่เมื่อปีก่อนก็มี ชาวบ้านและองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) ร่วมกันรณรงค์คัดค้านโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 ซึ่งมีแผนตอกเสาเข็มกันที่บ้านสวนกง ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา เพื่อให้เป็นท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทย และจะมีโครงการสะพานเศรษฐกิจ หรือ "แลนด์ บริดจ์" เป็นเส้นทางเชื่อมท่าเรือน้ำลึกจากสอง ฝั่งทะเลด้วย

    ทั้งสองโครงการเป็น "เมกกะ โปรเจค" ส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือ "เซาท์ เทิร์น ซีบอร์ด" ซึ่งผลักดันกันมาหลายรัฐบาล โดยหลายๆ โครงการมีแนวโน้มก่อผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม จนอาจสร้างความขัดแย้งทั้งในมิติทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมด้วย หลายพื้นที่มีกระแสคัดค้านค่อนข้างแรง โดยเฉพาะที่ จ.นครศรีธรรมราช สงขลา และสตูล

    "ทีมข่าวอิศรา" ได้ส่งทีมลงพื้นที่ขัดแย้งต่างๆ เพื่อเกาะติดสถานการณ์นี้ และมี "รายงาน จากพื้นที่" เตรียมนำเสนออย่างต่อเนื่องหลายชิ้น...

    อย่างไรก็ดี เนื่องจากโครงการเซาท์เทิร์น ซีบอร์ด มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างยาวนานหลายสิบปี และมีโครงการก่อสร้างทั้งเล็กทั้งใหญ่แตกลูกอีกหลายสิบโครงการในหลายๆ พื้นที่ ทั้งภาคใต้ตอนกลางและตอนล่าง การทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ แนวคิด เส้นทางการดำเนินงาน และรายละเอียดของโครงการ จึงเป็นสิ่งสำคัญ

    เมื่อไม่นานมานี้ สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยแผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี หรือ นสธ. ได้เผยแพร่บทความเรื่อง "เซาท์ เทิร์น ซีบอร์ด...ความขัดแย้งระลอกใหม่กำลังก่อตัว" ในเว็บไซต์ http://www.tuhpp.net/?p=2941 ของทางสถาบัน โดยบทความชิ้นนี้เขียนโดย ปกรณ์ พึ่งเนตร หนึ่งใน "ทีมข่าวอิศรา" ด้วย ทางศูนย์ข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา จึงนำมาเผยแพร่เพื่อปูพื้นความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการเซาท์เทิร์น ซีบอร์ด ก่อนจะค่อยๆ ทะยอยนำเสนอสถานการณ์ความขัดแย้งที่กำลังก่อตัวในพื้นที่ต่างๆ จากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐในลำดับต่อไป 


    เซาท์เทิร์น ซีบอร์ด...ความขัดแย้งระลอกใหม่กำลังก่อตัว

    โครงการพัฒนาพื้นที่ชาย ฝั่งทะเลภาคใต้ หรือ เซาท์เทิร์น ซีบอร์ด (Southern Seaboard : SSB) เป็นโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ หรือ "เมกะโปรเจค" ที่คนไทยได้ ยินชื่อมานานหลายสิบปี และดำเนินการต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล

    อย่างไรก็ดี ด้วยความที่เป็นโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ มีโครงการย่อยๆ ที่เป็นองค์ประกอบมากมาย และความไม่ต่อเนื่องทางนโยบายของฝ่ายการเมือง ทำให้บางช่วงเวลา เซาท์เทิร์น ซีบอร์ด ก็เงียบหายไป

    แต่กระนั้น ในปี พ.ศ.2552 รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยคณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่พิจารณาเสนอแนะนโยบาย แผนงาน โครงการและมาตรการต่อคณะรัฐมนตรีในการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ซึ่งนับว่าเป็นการ "ขับเคลื่อน" อย่างเป็นรูปธรรมมากที่ สุดในช่วงหลายรัฐบาลที่ผ่านมา

    เซาท์เทิร์น ซีบอร์ด ณ วันนี้เดินหน้าไปถึงไหนแล้ว และได้ดำเนินโครงการอะไรไปบ้างในช่วงตลอดหลายสิบปี จึงเป็นประเด็นที่น่าติดตามค้นหาไม่น้อยทีเดียว

    ความเป็นมาและ แผนแม่บท

    สำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ได้เริ่มต้นแนวคิดและกำหนดแผนพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ ปี พ.ศ.2518 โดยได้ว่าจ้างบริษัท Hunting Technical Service เพื่อศึกษาการใช้ทรัพยากรในภาคใต้

    ต่อมา สศช.ได้กำหนดแผนแม่บทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของประเทศ แบ่งออกเป็น 4 ระยะ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2523 ส่งผลให้มีการจัดทำโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้อย่างเป็นรูปเป็น ร่างในปี พ.ศ.2536

    โครงการพัฒนาพื้นที่ชาย ฝั่งทะเลภาคใต้ในช่วงแรก มีวัตถุประสงค์สำคัญคือ ส่งเสริมอุตสาหกรรมในภาคใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดเป้าหมาย ได้แก่ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา และภูเก็ต โดยจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเปิดประตูการค้าแห่งใหม่

    เซาท์เทิร์น ซีบอร์ด มีกลยุทธ์ที่สำคัญคือ ขยายพื้นที่อุตสาหกรรมและการขนถ่ายสินค้าข้ามคาบสมุทรระหว่างอ่าวไทยกับทะเล อันดามัน หรือนโยบายการสร้างสะพานเศรษฐกิจ (Land Bridge) ประกอบด้วย ทางด่วน ทางรถไฟ ท่อส่งน้ำมัน และท่าเรือน้ำลึกทั้งสองฝั่งทะเลที่ปลายสะพานเศรษฐกิจ รวมทั้งพัฒนาอุตสาหกรรมและการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อให้พื้นที่ 5 จังหวัดเป้าหมายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม การขนส่งทางทะเล ธุรกิจบริการ และการเงินการตลาดของภูมิภาค รวมทั้งการท่องเที่ยวระดับชาติ

    แผนแม่บทการพัฒนา พื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ประกอบด้วยแผนหลัก 6 แผน ได้แก่  

    1.สร้างเส้นทางเศรษฐกิจ ใหม่ คือถนนหมายเลข 44 กำหนดไว้ 3 เส้นทางคือ ระนอง-ชุมพร-บางสะพาน, สงขลา-สตูล และ กระบี่-ขนอม (นครศรีธรรมราช) โดยถนนสายกระบี่-ขนอม สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อปี พ.ศ.2546 แต่ยังไม่ได้ใช้เพื่อการอุตสาหกรรม

    2.พัฒนาเขตนิคม อุตสาหกรรม แปรรูปสินค้าเกษตรครบวงจรบนเส้นทางเศรษฐกิจใหม่

    3.พัฒนาฐานอุตสาหกรรม น้ำมันและปิโตรเคมี

    4.พัฒนาท่าเรือน้ำลึก 

    5.พัฒนาศูนย์กลางให้ บริการกระจายสินค้าและระบบโลจิสติกส์ (Logistics) ระดับโลกตอนปลายของสะพานเศรษฐกิจทั้งสองฝั่งทะเล 

    6. พัฒนาเชื่อมโยงการท่องเที่ยวภาคใต้ในเชิงนิเวศ-วัฒนธรรม

    ทั้งนี้ เมื่อสรุปลำดับความเป็นมาและการกำหนดแผนงานของโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่ง ทะเลภาคใต้ที่สำคัญ สามารถไล่เรียงได้ดังนี้ 

    ปี พ.ศ.2518 สศช.เริ่มมีแนวคิดและกำหนดแผน โดยได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาทำการศึกษาการใช้ทรัพยากรในภาคใต้

    ปี พ.ศ.2528 ศึกษาการวางแผนพัฒนาภาคใต้ตอนบนในระดับอนุภาค

    ปี พ.ศ.2530 ศึกษาเพื่อเตรียมแผนปฏิบัติการพัฒนาภาคใต้ตอนบน

    ปี พ.ศ.2532 วันที่ 4 มี.ค.คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนา “สะพานเศรษฐกิจ” เชื่อมโยงฝั่งทะเลอันดามันกับอ่าวไทย 

    ปี พ.ศ.2532 วันที่ 21 พ.ย.คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาค ใต้ และแผนแม่บทดังกล่าวได้มีการผลักดันให้เกิดโครงการพัฒนาต่างๆ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

    ปี พ.ศ.2546 เดือน ก.ย.ถนนสายกระบี่-ขนอม ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อย

    ปี พ.ศ.2551 คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ นายสมัคร สุนทรเวช เห็นชอบตามที่ สศช.เสนอ ให้ย้ายและขยายนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออกไปยังพื้นที่โครงการเซาท์เทิร์น ซีบอร์ด และแลนด์บริดจ์ จากนั้นการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาให้ทำการศึกษา 

    ปี พ.ศ.2552 วันที่ 3 ก.พ. คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน 

    หลากหลาย โครงการพัฒนาใต้

    นอกจากแผนแม่บทหลักของ โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้แล้ว รัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมายังมีนโยบาย แผนแม่บท และโครงการที่หนุนเสริมโครงการเซาท์เทิร์น ซีบอร์ด อีกหลายโครงการ เฉพาะที่สำคัญได้แก่

    1.แผนแม่บท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของประเทศไทย รัฐบาลได้จัดทำและเริ่มดำเนินการ เมื่อปี พ.ศ.2523 มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงสายการผลิตด้านปิโตรเคมีให้ต่อเนื่องและพัฒนาขึ้น เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และเน้นการร่วมมือด้านธุรกิจกับกลุ่มประเทศพันธมิตร

    แผนแม่บทอุตสาหกรรมปิโต รเคมีฯ กำหนดช่วงเวลาของแผนเอาไว้ดังนี้

    ระยะที่ 1 ช่วง ปี พ.ศ.2523-2531 มีเป้าหมายลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ด้านปิโตรเคมี และให้มีผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีพอใช้สำหรับภายในประเทศ พื้นที่ดำเนินการคือ บริเวณโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ อีสเทิร์น ซีบอร์ด (Eastern Seaboard : ESB)

    ระยะที่ 2 ช่วง ปี พ.ศ.2532-2547 มีเป้าหมายเน้นการส่งออกด้านปิโตรเคมี จึงได้ขยายฐานการผลิต โดยพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง

    ระยะที่ 3 ช่วง ปี พ.ศ.2547-2558 มีเป้าหมายขยายการผลิตให้เพิ่มมากขึ้น และจัดกลุ่มการผลิตปิโตรเคมีให้เข้มแข็ง โดยใช้วิธีขยายการผลิตในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง รวมทั้งเสนอพื้นที่สำหรับพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเพิ่มเติม โดยเป้าหมายอยู่ที่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช และอำเภอใกล้เคียงซึ่งอยู่ในพื้นที่แลนด์บริดจ์ และใกล้กับถนนสาย 44 (กระบี่-ขนอม)

    แผนแม่บทอุตสาหกรรมปิโต รเคมีของประเทศไทยจึงเกี่ยวเนื่องกับโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ตรงส่วนนี้ กล่าวคือ สศช.ได้เสนอแผนให้ย้ายนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออกไปยังพื้นที่โครงการเซาท์ เทิร์น ซีบอร์ด และแลนด์บริดจ์ โดยคณะรัฐมนตรี (ชุด นายสมัคร สุนทรเวช ปี พ.ศ.2551) ได้ให้ความเห็นชอบตามที่ สศช.เสนอ จากนั้น กนอ.ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาให้ทำการศึกษา โดยกำหนดรกรอบเวลาไว้ดังนี้

    ปี พ.ศ.2551 ศึกษาความเป็นไปได้ เลือกพื้นที่ และออกแบบเบื้องต้น

    ปี พ.ศ.2552-2553 ศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และทำประชาพิจารณ์ 

    ปี พ.ศ.2554 ออกแบบรายละเอียด

    ปี พ.ศ.2555-2559 ลงมือก่อสร้าง

    ปี พ.ศ.2560 เริ่มเดินเครื่องจักรโรงงาน

    2.โครงการสาม เหลี่ยมเศรษฐกิจ หรือโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจร่วม 3 ฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Development Project; IMT-GT) ในส่วนของประเทศไทย เน้นการพัฒนาพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง คือ สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ซึ่งในส่วนของสตูล มีความเชื่อมโยงกับโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ เนื่องจากมีแผนก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา

    3.โครงการกลุ่ม ความร่วมมือห้าเหลี่ยมเศรษฐกิจ หรือ โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุทวีป (Bangladesh-India-Myanmar-Sri Lanka-Thailand Economic Cooperation; BIMST-EC) ซึ่งเป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจของบังคลาเทศ อินเดีย พม่า ศรีลังกา และไทย

    4.ความร่วมมือ ภายใต้กรอบคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์ร่วมในการพัฒนาชายแดนไทย-มาเลเซีย (Thailand-Malaysia Committee on Joint Development Strategy for Border Areas) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างไทยกับมาเลเซียเพื่อพัฒนาพื้นที่ชายแดน เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2547 

    วันนี้ของเซาท์ เทิร์น ซีบอร์ด

    โครงการพัฒนาพื้นที่ชาย ฝั่งทะเลภาคใต้ซึ่งรัฐบาลกำลังขับเคลื่อนอยู่ในปัจจุบัน มีอยู่ 3 โครงการที่สำคัญ กล่าวคือ

    1.โครงการ ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา และโครงการท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2

    โครงการท่าเรือน้ำลึก ปากบารา มีแผนก่อสร้างท่าเรือที่บ้านปากบารา อ.ละงู จ.สตูล ขณะที่โครงการท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 มีแผนก่อสร้างที่บ้านสวนกง ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา โดยจะมีโครงการสะพานเศรษฐกิจ หรือ แลนด์บริดจ์ เป็นเส้นทางเชื่อมท่าเรือน้ำลึกจากสองฝั่งทะเลด้วย เป็นโครงข่ายคมนาคมเต็มรูปแบบ ทั้งถนน เส้นทางรถไฟ และระบบท่อส่งน้ำมัน

    โครงการนี้ผ่านการศึกษา และผลักดันมาหลายรัฐบาล โดย สศช.ตั้งเป้าให้ภาคใต้เป็นทางเลือกในการรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโต รเคมี โดยนำก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยขึ้นมาใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง จึงต้องพัฒนาระบบโลจิสติกส์ (การขนส่ง) ให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค เชื่อมโยงฝั่งทะเลอันดามันกับฝั่งอ่าวไทยตอนล่างด้วยระบบคมนาคมที่ทันสมัย และได้มาตรฐาน

    แผนการก่อสร้างท่าเรือ น้ำลึกชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนล่างเพื่อเชื่อมต่อกับท่าเรือน้ำลึกฝั่ง อันดามันนั้น เป้าหมายอยู่ที่ จ.สงขลา เนื่องจากอยู่ในโซนพัฒนาของกลุ่มจังหวัดชายแดน ประกอบด้วย สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดย สศช.วิเคราะห์ว่าพื้นที่นี้มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับอย่างเพียงพอ ประกอบด้วย ท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ ระบบรถ ท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 1 เขื่อนบางลาง โรงแยกก๊าซจะนะ (475 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน) โรงไฟฟ้าจะนะ (700 เม็กกะวัตต์) ศูนย์ธุรกิจการค้า (ที่ อ.หาดใหญ่) และมีมหาวิทยาลัยถึง 8 แห่ง

    อย่างไรก็ตาม โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทั้ง 2 แห่ง ถูกต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่และองค์กรภาคประชาสังคม โดยเฉพาะโครงการที่บ้านสวนกง ต.นาทับ อ.จะนะ เคยจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นกันมาแล้วหลายครั้ง มีการนำเสนอข้อมูลการกัดเซาะของน้ำทะเลบริเวณชายหาดฝั่งอ่าวไทยที่อยู่ใน ขั้นวิกฤติ เพื่อคัดค้านโครงการดังกล่าว

    อย่างไรก็ดี ภาคเอกชนในพื้นที่ได้ให้การสนับสนุนโครงการนี้อย่างสุดตัว เพราะเห็นว่าถ้าโครงการสะพานเศรษฐกิจสงขลา-สตูลไม่เกิดขึ้น จะทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีปัญหาการก่อความไม่ สงบอยู่ในภาวะชะงักงัน โดยเฉพาะโครงการผลักดันให้ จ.ปัตตานี เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีโครงการสะพานเศรษฐกิจสงขลา-สตูล

    2.โครงการ ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน

    แผนงานก่อสร้างทั้งระบบ มีจำนวนถึง 8 โรง เพื่อจัดหาไฟฟ้าป้อนให้กับภาคอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอ ไม่ติดขัด พื้นที่สำคัญที่มีแผนจะก่อสร้างคือ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา 1 โรง และใน จ.นครศรีธรรมราช 2 โรง

    กล่าวเฉพาะ จ.นครศรีธรรมราช สถานที่ก่อสร้างจะอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลน้ำลึกเพื่อความสะดวกในการขนส่งถ่าน หิน ต้องมีสายส่งไฟฟ้าแรงสูง มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ และการคมนาคมสะดวก ปัจจุบันมีการสำรวจสถานที่สำหรับก่อสร้างอยู่ 2 แห่ง คือที่ อ.หัวไทร และ อ.ท่าศาลา

    นอกจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ยังมีโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติซึ่งก่อสร้างและเดินเครื่องอยู่แล้วที่ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช  โดยในอำเภอเดียวกันนี้ยังมีโรงแยกก๊าซธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งด้วย

    ส่วนที่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช มีความพยายามผลักดันให้ก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าชีวมวล แต่ถูกประชาชนในพื้นที่ต่อต้านจนโครงการต้องชะงักไป

    3.โครงการ สำรวจ ขุดเจาะ และผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย

    รัฐบาลอนุญาตให้บริษัท ข้ามชาติหลายบริษัทได้สิทธิในการสำรวจบ่อน้ำมันและแหล่งปิโตรเลียมในทะเล แปลงสำรวจโครงการนี้ส่วนใหญ่อยู่นอกชายฝั่ง จ.นครศรีธรรมราช และ สุราษฎร์ธานี โดยมีพื้นที่สำรวจหลายพันตารางกิโลเมตร

    อย่างไรก็ดี ขอบแปลงสำรวจหลายจุดอยู่ใกล้กับ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติชื่อดังอื่นๆ จึงถูกต่อต้านจากประชาชนในท้องถิ่นและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวใน พื้นที่มากพอสมควร

    นอกจากนั้นยังมีโครงการ ก่อสร้างท่าเรือและศูนย์สนับสนุนการปฏิบัติงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าว ไทยของบริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ที่ปากน้ำคลองกลาย บ้านบางสาร ต.กลาย อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช อีกด้วย 

    คลุมเครือและ หวาดระแวง

    เป็นที่น่าสังเกตว่า การผลักดันโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับเซาท์เทิร์น ซีบอร์ด ในระยะหลัง ถูกคัดค้านจากประชาชนเจ้าของพื้นที่นักวิชาการ และองค์กรภาคประชาสังคมอย่างกว้างขวาง อันสืบเนื่องจากกระแสตื่นกลัวเรื่องมลพิษ กากอุตสาหกรรม และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนในท้องถิ่น

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหา ที่เกิดกับนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เป็นกรณีตัวอย่างอันเลวร้ายที่ทำให้เกิดแรงต้านโครงการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม และปิโตรเคมีลุกลามไปทั่วประเทศ

    ดร.เลิศชาย ศิริชัย นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ตั้งข้อสังเกตว่า วิธีการดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ไม่ได้แสดงรายละเอียดของ โครงการและแผนงานให้ประชาชนได้เห็นทั้งหมด แต่จะใช้วิธีผลักดันโครงการย่อยๆ หลายๆ โครงการพร้อมกัน โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแยกดำเนินการกันเอง

    "จุดนี้กลายเป็นปัญหา ยุ่งยากสำหรับประชาชนและผู้ที่สนใจติดตามตรวจสอบโครงการพัฒนาต่างๆ ของเซาท์เทิร์น ซีบอร์ด เพราะโครงการไม่ได้ถูกนำเสนออย่างเชื่อมโยง ทำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงมักปฏิเสธความเกี่ยวข้อง"

    "ที่ผ่านมามี การศึกษาผลกระทบและความเป็นไปได้ของโครงการพัฒนาและก่อสร้างโครงสร้างพื้น ฐานในหลายพื้นที่ มีการส่งคณะทำงานลงไปเก็บข้อมูลชุมชนหลายโครงการ แต่ก็ไม่สามารถสืบสาวราวเรื่องได้ว่าเป็นโครงการที่เชื่อมโยงกับ เซาท์เทิร์น ซีบอร์ด หรือไม่ บางโครงการทำการศึกษาแล้วก็เงียบหายไป จึงเป็นปัญหาความคลุมเครือ ไม่ไว้วางใจ และสร้างความหวาดระแวงในหมู่ชาวบ้านในท้องถิ่น" ดร.เลิศชาย ระบุ

    นักวิชาการจาก มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวอีกว่า นอกจากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ 3 โครงการซึ่งเป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไปแล้ว ในพื้นที่ยังมีโครงการก่อสร้างย่อยๆ อีกมากมาย เช่น โครงการขุดคลองชลประทานเพื่อลำเลียงน้ำจืดจากลุ่มน้ำตาปี และโครงการสร้างเขื่อนกั้นน้ำ รวมทั้งอ่างเก็บน้ำหลายแห่งใน จ.นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี ซึ่งไม่เคยมีคำตอบจากหน่วยงานที่รับผิดชอบว่า ต้องการลำเลียงน้ำจืดไปใช้เรื่องอะไร ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่โยงเข้ากับเซาท์เทิร์น ซีบอร์ด แล้วก็รวมตัวกันคัดค้าน

    "โครงการก่อ สร้างขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จะต้องมีการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ และทำประชาพิจารณ์ แต่ระยะหลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบดีว่าต้องถูกชาวบ้านคัดค้าน จึงใช้วิธีสร้างสัมพันธ์กับกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น และสร้างประชามติเทียมหรือเสียงสาธารณะด้วยการเอาผลประโยชน์เข้าไปล่อ แม้แต่ในสถานศึกษา เช่น บริจาคเงินให้โรงเรียน เพื่อให้เด็กๆ สนับสนุนโครงการ หรือให้ทุนวิจัยกับมหาวิทยาลัย เพื่อลดกระแสคัดค้านจากกลุ่มนักวิชาการ เป็นต้น"

    สัญญาณแห่งความ ขัดแย้ง...นักการเมืองหลบหลังกลุ่มทุน

    ดร.เลิศชาย ชี้ว่า การสร้างเสียงสาธารณะด้วยวิธีการดังกล่าวจะยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นใน ท้องถิ่น ประชาชนจะแตกออกเป็น 2 กลุ่ม ถือเป็นความน่ากลัวของกลุ่มทุนโลกาภิวัตน์ที่ใช้การจัดการด้วยทุน ไม่ใช่กำลัง

    "สิ่งที่น่า สังเกตก็คือ แม้จะมีกระแสเคลื่อนไหวและขัดแย้งอย่างสูงในหมู่ประชาชนในพื้นที่ แต่กลับไม่เคยปรากฏบทบาทของผู้แทนราษฎรระดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. หรือรัฐมนตรี ออกมาพูดหรือแสดงจุดยืนต่อโครงการพัฒนาเหล่านี้เลย เสมือนหนึ่งกลุ่มทุนเหล่านี้มีพลังอำนาจเหนือรัฐบาลและผู้แทนของปวงชน"

    เขายังย้ำด้วยว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานที่ดำเนินโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน ไม่เคยใช้กระบวนทัศน์การพัฒนาที่เป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อมเลย ได้แต่หวังกำไรสูงสุดจากทรัพยากรราคาถูกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ถ้ายังไม่มีวิธีคิดใหม่ๆ ในการทำความเข้าใจกับชุมชน ก็คงไม่อาจหยุดยั้งกระแสคัดค้านจากชาวบ้านได้

    ด้าน นาย นิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และอดีต ส.ส.สงขลาหลายสมัย เห็นสอดคล้องกันว่า การจะผลักดันโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ในปัจจุบัน ต้องให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมากับชาวบ้าน ให้ได้รับรู้อย่างชัดเจนว่าจะมีโครงการอะไรมาลงบ้าง เพราะต้องยอมรับว่าชาวบ้านไม่สบายใจกับการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม

    "สิ่งสำคัญคือต้องถาม ประชาชนในพื้นที่ และต้องศึกษาผลกระทบอย่างรอบคอบ รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม จากนั้นค่อยนำมาชั่งน้ำหนักว่าคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ การผลักดันโครงการพัฒนาในยุคใหม่คงหนีไม่พ้นที่จะต้องดำเนินการตามแนวทางที่ ว่านี้ให้ครบกระบวนการ" นายนิพนธ์ กล่าว

    ความโปร่งใสคือ คำตอบสุดท้าย

    ความจริงอันโหดร้ายที่ ปรากฏต่อสาธารณชนกรณีปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งแม้ชาวบ้านจะรวมตัวกันเรียกร้องต่อสู้ถึงโรงถึงศาล แต่ก็ยังไร้หลักประกันใดๆ ว่าพวกเขาจะไม่ต้องเผชิญกับมลพิษทั้งทางอากาศ ทางน้ำ และกากอุตสาหกรรมอีก ส่งผลให้การผลักดันโครงการพัฒนาขนาดใหญ่นับจากนี้ไปเป็นเรื่องยากยิ่ง

    ข่าวสารที่ปรากฏเป็น ข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เนืองๆ ก็คือ ณ วันนี้ขนาดแค่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลจะหาพื้นที่จัดทำบ่อขยะหรือ ฝังกลบขยะก็ยังถูกม็อบชาวบ้านต่อต้าน มิพักต้องพูดถึงโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่กลายเป็นภาพหลอนอันน่าสะพรึงกลัวไป แล้วสำหรับคนไทย

    ทางออกเดียวที่จะเดิน หน้าโครงการพัฒนาเหล่านี้ได้ คือการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชน และสร้างการมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ไม่ใช่สร้าง "ประชามติเทียม"เพื่อกลบปัญหา แล้วสุดท้ายเรื่องก็แดงขึ้นในภายหลังจนเกิดความเสียหายที่ยากจะเยียวยา

    รัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 67 วรรค 2 ที่กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ต้องการผลักดันโครงการที่อาจก่อผล กระทบอย่างรุนแรงกับชุมชน จักต้องทำการศึกษาเพื่อประเมินผลกระทบทั้งคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งหมายถึงต้องทำทั้ง อีไอเอ และ เอชไอเอ พร้อมจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เสียก่อน คือสิ่งที่ทุกภาคส่วนมิอาจละเลยได้อีกต่อไป

    หากยังต้องการ ให้มีโครงการพัฒนาขนาดใหญ่เกิดขึ้นในประเทศไทยในห้วงเวลานับจากนี้!


    หมายเหตุ : บท ความนี้ได้รับการสนับสนุนจากแผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตามโครงการแกะรอยนโยบายสาธารณะ ซึ่งในโครงการเดียวกันมีบทความได้รับการเผยแพร่รวม 18 เรื่อง ในเอกสารเผยแพร่ชุด "18 บทความนักข่าวแกะรอยนโยบายสาธารณะ" ซึ่งสามารถเข้าชมเรื่องอื่นๆ ได้ตามลิงค์

    http://www.tuhpp.net/?p=2941

    อ่านประกอบ : ท่า เรือน้ำลึกจะนะ...เมื่อโครงการพัฒนารุกรานและชาวบ้านขอสู้ตาย!

 

คำสำคัญ (Tags): #ข่าว
หมายเลขบันทึก: 439358เขียนเมื่อ 14 พฤษภาคม 2011 22:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 19:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท