เมื่ออากาศอุ่นซึ่งมีไอน้ำรวมอยู่ด้วยลอยตัวสูงขึ้นไปในบรรยากาศชั้นบน อากาศจะเย็นตัวลงไอน้ำบางส่วนจึงจับตัวกันในบรรยากาศ และก่อให้เกิดหยดน้ำเล็กๆ ลอยอยู่ในอากาศ เมื่อหยดน้ำเล็กๆจำนวนมากลอยอยู่ด้วยกันก็จะก่อให้เกิดเป็นเมฆอยู่บนท้องฟ้าซึ่งเราสามารถมองเห็นเมฆที่มีรูปร่างต่างๆ หลายแบบตามชนิดของเมฆ
ชื่อเมฆ |
ลักษณะของเมฆ |
ซีร์รัส |
บางๆ ละเอียดสีขาว และฝอยหรือปุยคล้ายขนนก อาจมีวงแสงโปร่งใส |
ซีร์โรสเตรตัส |
บางๆ โปร่งแสงเหมือนม่าน มีสีขาวหรือน้ำเงินจาง อาจมีวงแสงได้ |
ซีร์โรคิวมูลัส |
บางๆสีขาวเป็นก้อนเล็กๆ เหมือนคลื่นและเกร็ด โปร่ง และมองเห็นดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ได้ |
อัลโตคิวมูลัส |
สีขาว บางครั้งสีเทา มีลักษณะเป็นก้อนกลมใหญ่และแบน มีการจัดตัวกันเป็นแถวๆ หรือคลื่น อาจมีแสงทรงกลด |
อัลโตสเตรตัส |
ม่านสีเทาและสีฟ้าแผ่เป็นบริเวณกว้าง มองดูเรียบเป็นปุยหรือฝอยละเอียด อาจมีแสงทรงกลด |
สเตรตัส |
เหมือนหมอกแต่อยู่สูงจากพื้นดินเป็นชั้นและแผ่น มีสีเทา มองไม่เห็นดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร์ |
สเตรโตคิวมูลัส |
สีเทาลักษณะอ่อนนุ่มและนูนออกเป็นสัน เมื่อรวมกันจะเป็นคลื่น ส่วนมากไม่มีฝน |
นิมโบสเตรตัส |
สีเทาดำ ไม่เป็นรูปร่าง ฐานต่ำใกล้พื้นดิน ไม่เป็นระเบียบ คล้ายผ้าขี้ริ้ว |
คิวมูลัส |
หนา ก่อตัวในทางตั้ง ไม่เห็นแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์ |
คิวมูโลนิมบัส |
เป็นเมฆหนา มีฟ้าแลบฟ้าร้อง ทึบมืด มีรูปทั่ง |
ที่มา : (กุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช 2546,313)
เมฆ (Cloud) เกิดจากไอน้ำในอากาศเมื่อกระทบความเย็นบางส่วนจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ รวมตัวกัน ซึ่งจะมีรูปร่างลักษณะต่าง ๆ กัน บางครั้งจะเห็นรูปร่างเป็นก้อนคล้ายสำลีลอยอยู่ในท้องฟ้าที่ระดับความสูงต่าง ๆ กัน บางครั้งก็มีลักษณะรูปร่างคล้ายขนนก ส่วนเมฆที่มีขนาดใหญ่เป็นแผ่นหนา สีดำมืด ภายในก้อนเมฆนั้นเต็มไปด้วยหยดน้ำที่อัดตัวกันแน่น จะเรียกว่า เมฆฝน แสดงว่าจะมีพายุ ฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น ถ้าหยดน้ำที่รวมตัวกันเป็นเมฆมีขนาดใหญ่ขึ้นจนอากาศอุ้มไว้ไม่ได้ก็จะตกลงมาเป็นฝน (rain)
เมฆ ในแต่ละวันจะมีปริมาณมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละวัน โดยทั่ว ๆ ไปจะแบ่งเมฆออกเป็น 3 ชั้น คือ
1. เมฆชั้นต่ำ อยู่สูงจากผิวโลกตั้งแต่ 700 - 2,000 เมตร มีลักษณะเป็นก้อนคล้ายภูเขา หรือบางครั้งเป็นแผ่นสีเทาอยู่เต็มท้องฟ้า ได้แก่ สเตรตัส คิวมูลัส คิวมูโลนิมบัส และสเตรโตคิวมูลัส
2. เมฆชั้นกลาง อยู่สูงจากผิวโลกตั้งแต่ 2,000 - 6,000 เมตร มีลักษณะเป็นลอน คลื่น เกือบเต็มท้องฟ้า ได้แก่ อัลโตสเตรตัส และอัตโตคิวมูลัส
3. เมฆชั้นสูง อยู่สูงจากผิวโลกตั้งแต่ 6,000 เมตร ขึ้นไป มีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆ คล้ายขนนก ได้แก่ ซีร์โรสเตรตัส ซีร์รัส และซีร์โรคิวมูลัส
ปกติประเทศไทยช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม ท้องฟ้าจะโปร่ง มีเมฆปกคลุมน้อย เมฆที่ปกคลุมในช่วงดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นเมฆชั้นสูง และมีเมฆก่อตัวในทางตั้งที่ก่อให้เกิดฝนฟ้าคะนองได้บ้าง โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไปถึงเดือนพฤษภาคม เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ส่วนใหญ่ท้องฟ้าจะมีเมฆมากหรือมีเมฆเต็มท้องฟ้า
หมอก เกิดจากไอน้ำในอากาศกลั่นตัวเป็นหยดน้ำลอยอยู่ในอากาศใกล้พื้นโลก โดยขนาดของหยดน้ำจะมีขนาดใหญ่กว่าหยดน้ำในเมฆ
น้ำค้าง เกิดจากไอน้ำกลั่นตัวเป็นหยดน้ำเล็กๆ เนื่องจากอุณหภูมิที่ลดลงในตอนกลางคืน ทำให้อากาศอิ่มตัว โดยอุณหภูมิลดลงจนกระทั่งอากาศไม่สามารถรับไอน้ำได้อีกต่อไป
ลูกเห็บ เกิดจากไอน้ำกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ แล้วถูกพายุหอบสูงขึ้นไปในระดับความสูงที่มีอุณหภูมิของอากาศเย็นจัดหยดน้ำจะกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง มีขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักมากจนอากาศ ไม่สามารถอุ้มไว้ได้จึงตกลงมา บางครั้งเกล็ดน้ำแข็งนั้น อาจถูกพายุหอบขึ้นไปกระทบความเย็นในบรรยากาศระดับสูงอีกก่อนตกถึงพื้น ทำให้เกล็ดน้ำแข็งหรือลูกเห็บมีขนาดใหญ่ขึ้น
หิมะ เกิดจากไอน้ำได้รับความเย็นจัดควบแน่นเป็นละอองน้ำแข็งตกลงสู่พื้น
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดฝนตกบริเวณประเทศไทย มีดังนี้
1. ร่องความกดอากาศต่ำ
2. ลมมรสุม
3. การพาความร้อน
4. พายุหมุนเขตร้อน
5. แนวพัดสอบของลม
6. คลื่นกระแสลมตะวันตก
7. คลื่นกระแสลมตะวันออก
8. การยกตัวของมวลอากาศเมื่อเคลื่อนมาปะทะเทือกเขา
ลักษณะของฝนที่ตกในประเทศไทย มีดังนี้
การวัดปริมาณน้ำฝน
การวัดปริมาณน้ำฝนจะไม่วัดเป็นปริมาตร เพราะปริมาณน้ำฝนที่ได้จะเปลี่ยนแปลงไปตามขนาดของสิ่งที่รองรับ แต่บริเวณที่ฝนตกสม่ำเสมอ ระดับความสูงของน้ำฝนจากสิ่งที่รองรับน้ำฝนขนาดต่าง ๆ จะมีความสูงเท่ากัน ดังนั้น การวัดปริมาณน้ำฝนจึงวัดเป็นความสูงในหน่วย มิลลิเมตร
ตารางที่ 5.2 แสดงการวัดปริมาณน้ำฝนในประเทศไทย
ปริมาณน้ำฝน 24 ชั่วโมง (มิลลิเมตร) |
ขนาดของน้ำฝน |
0.1 -10.0 |
ฝนตกเล็กน้อย |
10.1 -35.0 |
ฝนตกปานกลาง |
35.1 -90.0 |
ฝนตกหนัก |
90.1 – ขึ้นไป |
ฝนตกหนักมาก |
ที่มา : (กุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช และคณะ 2546,311)
การทำฝนเทียม (Artificial Rain Making)
มีหลักการทำฝนเทียม อยู่ 2 ประการ คือ
1. ทำให้เมฆในท้องฟ้าหนาแน่นขึ้น
2. ทำให้ขนาดของละอองน้ำในเมฆมีขนาดโตพอที่จะตกลงมาเป็นฝนได้
ในการทำฝนเทียมต้องใช้สารเคมีบางอย่าง เช่น น้ำแข็งแห้ง (Dry ice) ผงโซเดียมคลอไรด์ เป็นต้น
การทำฝนหลวงในประเทศไทยเริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2519 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำการค้นคว้าการทำฝนเทียมภายในประเทศให้ได้ผล ....................................................................................................
(ผู้สนใจ สามารถดาวน์โหลด ชุดฝึกฉบับเต็มได้ที่ ไฟล์)
ดีมาก
ดีๆ
การทำฝนเทียมต้องใช้เมฆอะไรเหรอคะ