เสียงร่ำไห้พยาบาลชายแดนใต้ หน้าที่เพื่อมนุษยธรรมกลางไฟสงคราม | |
ผู้เขียน | รอซิดะห์ ปูซู |
แหล่งข่าวหลัก | ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย |
คอลัมน์ข่าว | สกู๊ปและสารคดี |
URL | |
เนื้อหา | นับตั้งแต่เกิดเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนถึงขณะนี้ได้ล่วงเลยเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว ถึงแม้ว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพยายามประสานความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา แต่เหตุความรุนแรงก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของผู้คนทุกสาขาอาชีพและการพัฒนาพื้นที่ในทุกด้านโดยเฉพาะการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และการสาธารณสุข
คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา นำโดยคุณเด่น โต๊ะมีนา สว.ปัตตานี ได้จัดเวทีเพื่อรับฟังความคิดเห็น ปัญหา อุปสรรค และแนวทางการแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาลในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อรับฟังสภาพปัญหาและข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้นจากผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ที่โรงแรม ซี.เอส.ปัตตานี เมื่อวันที่ 13 มกราคม ทีผ่านมา พยาบาลจากโรงพยาบาลต่างๆที่ทำงานในพื้นที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทุกครั้งที่มีเหตุเกิดขึ้น รู้สึกสะเทือนใจ ไม่มั่นใจในความปลอดภัยทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน และส่งผลกระทบต่อ วิถีชีวิตอย่างรุนแรง กรรณนิกา เหล่าหสกุล จาก รพ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี บอกว่า อ.ปานาเระ เป็นพื้นที่มีเหตุบ่อยมาก ในการนำส่งผู้ป่วยแต่ละครั้งไม่แน่ใจว่าจะมีความปลอดภัยหรือไม่ ข้างหน้าเป็นรถตำรวจ ข้างหลังเป็นรถทหาร แต่เพราะเป็นหน้าที่เราต้องไป ผลกระทบที่เห็นชัดเจนคือ วิถีชีวิตเปลี่ยนไป ตั้งแต่การเดินทางที่จะต้องมีการวางแผน เปลี่ยนเส้นทางตลอดเวลา ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แฟลต 1 ห้อง อยู่ร่วมกัน 4-6 คน ทำให้เป็นปัญหาต่อสุขภาพและจิตใจคนทำงาน มีความยุ่งยากในการปฏิบัติงานในสภาวะวิกฤตินี้ รุ่งเพชร ฉัตรสุวรรณ จาก รพ.รามัน จ.ยะลา บอกว่า รู้สึกดีใจที่ทางกรรมาธิการการสาธารณสุขมารับฟังปัญหา เป็นวิชาชีพที่ไม่เคยมีองค์กรใดมาพบรับฟังปัญหาเลย ในขณะที่จิตใจของคนทำงานหดหู่ ถดถอย เดิมการทำงานการสร้างสุขภาพทำยากกว่าพื้นที่อื่นอยู่แล้วเนื่องจากมีความแตกต่างในพื้นที่ พอมาเจอเหตุการณ์ยืนยันว่าบทบาทเราไม่ได้ถดถอยเลย ทำทุกอย่าง ลงพื้นที่เพื่อติดตามคนไข้ เราพบว่าปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นทั้งชาวบ้านและคนทำงาน ขอให้ขวัญกำลังใจแก่ผู้บริหารโรงพยาบาลชุมชนด้วย เพราะว่ามีความกดดันในการทำงานมาก อาชีพอื่นสามารถเปลี่ยนสถานที่ทำงานได้ แต่อาชีพพยาบาลไม่สามารถเปลี่ยนสถานที่ทำงาน จิตติมา อรุณรัตนา จากรพ.หนองจิก จ.ปัตตานี บอกว่า 2 ปีที่ผ่านมาพวกเราทำงานในสภาวะที่กดดัน เครียดมาก โดยเฉพาะในยามวิกาล ในช่วงแรกไม่มีขวัญกำลังใจในการทำงาน หวาดระแวงกับคนไข้ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นคนไข้ปลอมหรือคนไข้จริง แต่เมื่อมีเหตุแจ้งเข้ามาเราต้องออกไปเพราะชีวิตของประชาชนสำคัญกว่า โรงพยาบาลชุมชนมีโอกาสเกิดเหตุปะทะกัน เจ้าหน้าที่พยาบาลต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลาในการตั้งรับสถานการณ์ ซึ่งหนักมากพอ ยกตัวอย่าง กรณีเหตุที่ อ.ตากใบ เป็นเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดแต่เราต้องทำ มันเหมือนในสภาวะสงคราม ทั้งๆที่มันไม่ใช่สงคราม ทัศนี แสงทอง จาก รพ.สุไหงโกลก บอกว่า มีความกดดันและเครียดมาก มีเจ้าหน้าที่ของย้ายออก 28 คน แต่ไม่สามารถย้ายออกได้แม้แต่คนเดียว กำลังคนก็ไม่มีเพิ่ม ทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีความเครียดโดยเฉพาะพยาบาลที่อยู่ต่างจังหวัด ไม่สามารถกลับบ้านเยี่ยมครอบครัวได้ มีน้องบางคนบอกว่าครอบครัวกำลังจะแตกแยก บางคนทนไม่ได้ก็ขอลาออก ส่วนคนที่ลาออกไม่ได้ก็ลาบ่อย และปัญหาอีกประการหนึ่งคือไม่สามารถพัฒนาศักยภาพคนทำงานได้เลย ค่าตอบแทนที่ได้ก็ไม่เหมาะสม พวกเราต้องทำหน้าที่แทนแพทย์ทั้งๆที่ไม่ใช้หน้าที่ของเรา แต่เราต้องทำเพราะผู้บังคับบัญชาสั่งก็ต้องทำ ขอให้มีการประกันวิชาชีพแก่เจ้าหน้าที่พยาบาลด้วย จรรยา ทวีทอง จาก รพ.ศูนย์ยะลา บอกว่า โรงพยาบาลศูนย์ยาลารับคนไข้จากทุกจังหวัด แต่เรามีอัตรากำลังเจ้าหน้าที่น้อย พยาบาล 1 คนต้องรับผิดชอบคนไข้ 10 คน ขณะนี้เราใช้อัตรากำลังเพียง 70% เราต้องการอัตรากำลังเพิ่มอีก 150 คน จึงเพียงพอ สถานการณ์มันเป็นสงครามจริงๆ ในวิชาพยาบาลไม่ได้ให้เราเรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ว่า เหตุระเบิดเป็นอย่างไร ปั้นศีรษะ เป็นอย่างไร มีหลายเคสที่เราไม่เคยเรียนรู้เลย แต่เราต้องทำ “มีคนไข้ที่เป็นเด็กถูกลูกหลงโดนยิง เราต้องมากอดด้วยหัวใจดวงนี้ ถามว่า แล้วถ้าลูกเราเป็นอะไรอยู่ที่บ้านใครจะกอด พ่อแม่เราละซึ่งเป็นอัมภาพอยู่ที่บ้านใครจะช่วย” เธอบอกว่า สิ่งที่จะขอในเวทีนี้ ขอเสนอให้มีการโยกย้ายได้ มีการบรรจุผู้ที่มีคุณสมบัติในพื้นที่ได้ทันที จัดอัตรากำลังหมุนเวียนจากภูมิภาคอื่นมาช่วยชั่วคราว ระบบทุนจะต้องมีอยู่จะได้สะดวกในการวางแผนว่าในแต่ละปีเราจะมีเจ้าหน้าที่มาปฏิบัติงานจำนวนเท่าใด และสวัสดิการต่างๆ เช่นการเดินทาง ค่ารถไฟ ค่ารถเมล์ " เรามีการบริการเชิงรุก ตามนโยบายของรัฐบาล แต่เราไม่แน่ใจว่าสิ่งที่รัฐบาลบอกว่าเชิงรุกจริงแค่ไหน การประกันชีวิตและทรัพย์ของเจ้าหน้าที่พยาบาล เราต้องสูญเสียเพื่อน เสียน้องในเหตุการณ์หลายคน การให้ความช่วยเหลือที่ผ่านมามันเป็นการรับบริจาค ซึ่งน่าเวทนา ใครใหญ่ก็ไม่เป็นไหร่ ถึงเวลาที่จะต้องมีการประกันชีวิตและทรัพย์เหมือนหน่วยงานอื่น" นิมัสตูลา ระเด่นอาหมัด ผอ.วิทยาลัยพยาบาลพระบรมราชชนนียะลา ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบผลิตนักศึกษาพยาบาล บอกว่า ในฐานะที่เป็นอาจารย์ ฟังแล้วรู้สึกสะเทือนใจ ขอยืนยันว่าเราสามารถผลิตคนได้ เรามีอาจารย์ 20 คน ดูแลนักศึกษา 400 คน ทุกวันนี้ไม่มีแรงจูงใจที่จะมาอยู่ที่นี่ มีแต่คนจะย้ายออก ได้ทำการศึกษาวิจัยเราพบว่า ประชาชนมีความทุกข์มาก และต้องการรับบริการจากพยาบาลมากกว่าในสถานการณ์ปกติ มีการบริการที่เชิงรุกและต่อเนื่อง "ต้องทำหน้าที่สมานฉันท์เพราะพยาบาลจะอยู่ใกล้ชิดประชาชน ไม่มีโอกาสพักแม้แต่นาทีเดียว ในฐานะที่เป็นอาจารย์ก็ได้แต่ขอให้กำลังใจกับลูกศิษย์ คอยปลอบขวัญ อยากให้รัฐบาลช่วยในเรื่องสวัสดิการที่เท่าเทียมกับวิชาชีพอื่น" นิมลต์ หะยีนิมะ จาก รพ.จะแนะ จ.นราธิวาส บอกว่า ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าใครคือโจรใครคือคนดี ไหนจะต้องดูแลคนไข้ ไหนจะต้องดูแลตนเองว่าจะกลับมารอดหรือรึเปล่า เพราะว่าตลอดเส้นทางมีแต่ทหารคุ้มกัน “ประเด็นเรื่องการชันสูตรศพ พวกเราไม่มีความรู้เลย แต่ก็ต้องออกไปชันสูตรเพราะคำสั่ง ถามว่าสวัสดิการที่ได้รับขณะนี้พอใจไหม ทุกคนตอบได้ทันทีว่าไม่พอใจ 100%” สุนีย์ นำพิพัฒน์ จาก รพ.ระแงะ จ.นราธิวาส บอกว่า ต้องจัดหน่วยเคลื่อนที่เข้าไปที่บ้านตันหยงลิมอ ครั้งแรกที่ไปถึงรู้สึกหดหู่ เงียบวังเวง แต่ก็ต้องทำเพราะยังมีประชาชนผู้บริสุทธิ์อีกหลายคนที่กำลังรอการช่วยเหลือ รวมทั้งที่บ้านบองอเราก็เข้าไป ในการทำงานมีปัญหาในการรีเฟอร์มาก ล่าช้า เนื่องจากเป็นพื้นที่สีแดง ส่วนการขอโยกย้ายออกของหัวหน้างานไปพร้อมลูก อาชีพอื่นมี แต่อาชีพพยาบาลไม่มี ถ้าทำได้คุณภาพชีวิตของพยาบาลน่าจะดีขึ้น ประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ สว. กทม. กล่าวตอนหนึ่งในช่วงการบรรยายพิเศษ "การมีส่วนร่วมของสตรีต่อการพัฒนางานด้านสาธารณสุข ว่า บทบาทความเป็นผู้หญิง อันดับแรกต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง ต้องรักกันและเข้าใจกัน มีคนป่วยบางคนพูดว่า เวลาเจอหมอ หรือ พยาบาลที่มีหน้าตายิ้มแย้มทำให้อาการป่วยไข้หายครึ่งหนึ่ง แล้วยารักษาอีกครึ่งหนึ่ง ดังนั้นการมีส่วนร่วมของผู้หญิงสำคัญ โดยเฉพาะ แม่บ้าน อสม. ทั้งหลาย เพราะว่าผู้หญิงจะเข้าใจความเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ได้ดีกว่าผู้ชาย" "พลังแม่ พลังหญิง จะสร้างสุขภาพที่ดี" สว. กทม.กล่าวสรุปตอนท้ายอีกครั้ง" ขณะที่ รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง นายกสภาการพยาบาล กล่าวว่า ในสถานการณ์วิกฤติเป็นเรื่องยากและลำบากในการทำงาน แต่ เป็นหน้าที่ที่จะต้องทำให้ประชาชนในพื้นที่มีสุขภาพดี ทั้ง กาย จิต และวิญญาณ อย่างที่หมอประเวศ วะสี ได้กล่าวไว้ เวทีรับฟังปัญหาผ่านไปทุกคนแยกย้ายกันกลับ ภาระหน้าที่ดูแลสุขภาวะของพวกเธอท่ามกลางสถานการณ์ความไม่มั่นคงปลอดภัยดำเนินต่อไป หน้าที่เพื่อมนุษยธรรม เป็นสิ่งเหนี่ยวรั้งให้พวกเธอมิอาจละทิ้งภาระนี้ไปได้ แต่จะมีสิ่งใดบ้างหรือไม่ ที่จะเป็นหลักประกันว่า ชีวิตของพวกเธอจะได้รับการคุ้มครอง เพื่อปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญในดินแดนอันรุ่มร้อนนี้ต่อไป
|
ไม่มีความเห็น