หน้าแรก
สมาชิก
พระจาตุรงค์ อาจาร...
สมุด
คนวัยเรียนรู้
จริยศาสตร์คุณธรรม
พระจาตุรงค์ อาจารสุโภ
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
จริยศาสตร์คุณธรรม
จริยศาสตร์คุณธรรม
จริยศาสตร์คุณธรรม
จริยศาสตร์คุณธรรมเป็นจริยศาสตร์ที่วางรากฐานอยู่บนลักษณะนิสัยปฎิเสธการประเมินคุณค่าทางศีลธรรมที่การกระทำ ยอมรับการประเมินคุณค่าทางศีลธรรมที่บุคคลผู้กระทำ ลักษณะนิสัยที่มีอยู่ภายในบุคคลและคุณธรรมที่บุคคลครอบครองในตน
จริยศาสตร์คุณธรรมเสนอว่า คุณธรรมที่มีอยู่ในตัวบุคคลหรือที่บุคคลมีเป็นพื้นฐานทางการประเมินคุณค่าทางศีลธรรมได้มากกว่าการกระทำที่บุคคลกระทำ หรือมุ่งเอาเพียงการดูเฉพาะ”เจตนาดี” อย่างค้าน ฉะนั้นเมื่อบุคคลจะประเมินคุณค่าทางศีลธรรมควรจะมุ่งประเมินไปที่บุคคลผู้มีศักยภาพ ที่จะมีศีลธรรม โดยประเมินบุคคลผู้มีศักยภาพที่จะมีศีลธรรมในฐานะภาพรวม ของชีวิตของแต่บุคคล ไม่ใช่แยกพิจารณาแต่ละการกระทำ อย่างฮอบส์ที่มุ่งหวังเพียงการวิเคราะห์เอาในแต่ละสถานการณ์ (สัมพัทธ์) หรือการมุ่งเอาจากผลที่เกิดแก่คนส่วนมากอย่างมิลล์ในหลัก “มหสุข”
จริยศาสตร์คุณธรรมต้องการให้ดูที่ลักษณะนิสัยของคนแต่ละคนเป็นเกณฑ์ในการตัดสินการกระทำว่าบุคคลที่มีคุณธรรมนั้นต้องมีความพยายามในการต้องการพัฒนาศักยภาพที่จะเป็นคนดี โดยดูได้จากคนดีเป็นแบบอย่างโดยการเลียนแบบเอามาเป็นตัวอย่าง และนำเอาวิธีการของบุคคลตนแบบนั้นมาปฏิบัติเพื่อเข้าถึงเป้าหมายนั้น โดยดูจากแรงจูงใจที่ดีจากตัวผู้กระทำที่ได้ถือเอาคนที่เป็นแบบในการมาตัดสิน และตัวผู้กระทำต้องเป็นผู้ที่ต้องพยายามในการพัฒนาศักยภาพนั้นด้วย เกณฑ์ตัดสินต้องไปเน้นเอาที่ตัวบุคคลที่พยายามเข้าถึงคุณธรรมของบุคคลที่ดีเป็นเกณฑ์การตัดสินเมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นได้จริง
ปัญหาทฤษฎีของ มิลล์ในการตัดสินปัญหาทางจริยธรรม
มิลล์ เป็นนักคิดชาวประโยชน์นิยมที่สร้างระบบแนวคิดให้รัดกุมมากขึ้น หลักการของของชาวประโยชน์นิยมหรือมิลล์ ถือว่า หลักการที่จะนำมาตัดสินการกระทำอันใดอันหนึ่งว่าถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควรนั้น อยู่ที่ผลที่จะได้รับคือประโยชน์สุขที่มากกว่า แต่ประโยชน์สุขในที่นี้มิได้หมายถึงประโยชน์สุขของผู้กระทำ แต่หมายถึงประโยชน์สุขของมหาชน สิ่งที่ควรทำคือ สิ่งที่ก่อประโยชน์ สุขมากที่สุดแก่คนจำนวนมากที่สุด หลักการนี้เรียกว่า “หลักมหสุข” มิลล์ขยายความหลักของมหสุขว่า ความถูกต้องของการกระทำขึ้นอยู่กับ แนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความสุข ความดีคือความสุข แต่สิ่งที่ให้ความสุขแก่มหาชนคือสิ่งที่ดีที่สุด ประโยชน์นิยมถือเอาผลที่เกิดจากการกระทำว่าสำคัญกว่าเจตนาที่จูงใจให้การกระทำ ความสุขที่มากที่สุดจะเป็นตัวสุดท้ายที่จะตัดสินว่าเราทำถูกหรือทำผิด แต่มิใช่มองผลคือความสุขมากที่สุดสำหรับตัวเอง ประโยชน์นิยมไม่ได้สอนให้คนเห็นแก่ตัว ไม่ได้สอนว่าสิ่งที่ฉันควรทำคือสิ่งที่ให้ผลประโยชน์แก่ฉันมากที่สุด แต่สอนว่าสิ่งที่ควรทำคือสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขมากที่สุดแก่คนจำนวนมากที่สุด ในการตัดสินใจกระทำสิ่งใดลงไป เรามองผลประโยชน์ที่จะได้รับอันเป็นความสุขส่วนรวม จะทำอะไรก็อย่าลืมตนเอง ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญแก่ผู้อื่น ดังนั้น ประโยชน์นิยมอยู่ตรงกลางคืออย่าลดค่าของตัวเองให้น้อยกว่าผู้อื่น และอย่าลดค่าของผู้อื่นให้น้อยกว่าตัวเอง มิลล์ถือว่าหลักการแรกทางศีลธรรมเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งเขาเชื่อว่าระบบจริยศาสตร์ที่มีเหตุผลจะต้องมีหลักการแรกอยู่เสมอ เพราะถ้าไม่มีแล้ว เราก็จะไม่อาจตัดสินการกระทำเฉพาะของเราได้เลย และถ้าไม่มีหลักการแรก เราก็จะไม่อาจตัดสินใจได้เลยว่าเราควรจะเลือกกระทำการใดในกรณีที่มีความขัดแย้งหน้าที่ หลักการแรกของของมิลล์ก็คือหลักประโยชน์หรือหลักมหสุข โดยเน้นในเรื่องของคุณภาพของความสุข ไม่ใช่ปริมาณของความสุขที่ได้รับ แต่ความสุขของมนุษย์ควรเป็นความสุขแบบง่ายๆ หาได้ง่าย แต่ไม่ใช่ความสุขแบบสุนัข ความสุขที่เป็นหลักมหสุขเกิดจากการใช้ปัญญาพิจารณา และมาจากแรงจูงใจที่อยู่ภายในที่เรียกว่ามโนธรรม มโนธรรมเป็นสิ่งที่มาตั้งแต่เกิด เป็นสิ่งลึกลับ กฎศีลธรรมของประโยชน์นิยมเป็น “กฎคำสั่งเด็ดขาด” เพราะมิได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกส่วนตัว แต่ขึ้นอยู่กับประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
จริยศาสตร์คุณธรรมนั้นได้แก้ปัญหานี้โดยในให้ความเห็นว่า ควรที่เน้นให้ปัจเจกบุคคลได้ผลจากหลักมหสุขนี้โดยการไม่มองในเรื่องของความเป็นกฎเกณฑ์ในเชิงปริมาณหรือคุณภาพ แต่ควรเป็นแบบการมองถึงภาพรวมถึงตัวบุคลิกลักษณะของปัจเจกบุคคลด้วยเพราะในบางกรณีบุคคลแต่ละคนมีปัจจัยแวดล้อมอื่นไม่เหมือนกันแต่ถ้ามองถึงบุคลิกลักษณะหรือจุดหมายของปัจเจกบุคคลเลียนแบบหรือพยายามที่จะไปให้ถึงเป็นแรงจูงใจก็จะเห็นถึงความมีเจตคติถึงอุดมคติของเขาที่พยายามไปให้ถึงเพราะคนแต่ละคนถ้าเอาเกณฑ์และมองว่าคนแต่ละคนเท่าเทียมกันและต้องกระทำเพื่อบุคคลอื่นโดยมิได้มองสถานะความเป็นจริงที่ตนเองมีหรือเป็นอยู่ก็ยากที่จะเป็นกฎเกณฑ์ที่จะทำได้ แต่จริยศาสตร์คุณธรรมพยายามให้คุณค่าของบุคคลที่มีความพยายามที่จะเป็นและจะเข้าถึงแบบที่ดีที่สุดเป็นหลักเพราะดูเหมือนว่าเกณฑ์ของจริยศาสตร์คุณธรรมนั้นได้มองเห็นถึงข้อเท็จจริงของมนุษย์และยอมรับถึงความแตกต่างตามข้อเท็จจริงๆ
ปัญหาทฤษฎีของค้านในการตัดสินปัญหาทางจริยธรรม
ค้าน(Immanule Kant) ต้องการหาเกณฑ์ในการตัดสินทางจริยธรรมโดยการพยายามตั้งเป็นกฎเกณฑ์ที่แน่นอน โดยกฎเกณฑ์นั้นต้องอาศัยเหตุผลเป็นสำคัญมากกว่ามองถึงธรรมชาติของมนุษย์และแยกความเป็นจริงที่มนุษย์เป็นอยู่ ลักษณะแนวคิดของค้านนั้นเป็นจริยศาสตร์ที่วางอยู่บนกฎหรือความดี เป็นจริยศาสตร์ที่เสนอว่า พื้นฐานที่ดีที่สุดในการเป็นเกณฑ์ตัดสินเรื่องความดี คือ หลักการหรือกฎเกณฑ์ของการกระทำถูกต้อง ซึ่งการกระทำที่ถูกต้องนี้ต้องเป็นเป็นการกระทำที่สัมพันธ์อย่างสอดคล้องกับกฎที่ถูกต้องทางศีลธรรม...แนวคิดของค้านอยู่ในกลุ่มเจตจำนงนิยมที่เห็นว่าค่าทางจริยธรรมเป็นสิ่งที่แน่นอนตายตัว...และเกณฑ์ที่จะนำมาตัดสินค่าทางจริยธรรมก็แน่นอนตายตัว...เกณฑ์ที่ว่านี้คือ “เจตนา” ค้านจึงกล่าวเป็น ข้อความสั้น ๆ ว่า “การกระทำที่ดีมาจากเจตนาที่ดี และการกระทำที่เลวมาจากเจตนาเลว “คำว่าเจตนาดี” ในทรรศนะของค้านคือเจตนาที่มาให้เกิดการกระทำตามหน้าที่อันเป็นของมนุษย์ในฐานะที่เป็นมนุษย์ และกระทำไปตามเหตุผลโดยไม่มุ่งหวังผลว่าจะออกมาอย่างไร ไม่ได้กระทำไปตามอารมณ์หรือความรู้สึก การช่วยเหลือเพื่อนด้วยความสงสาร นี่ไม่ถือว่าเจตนาดีแต่ต้องกระทำตามหน้าที่เราเกิดมาในฐานะเป็นมนุษย์โดยเหตุผลที่ว่า...มนุษย์มีหน้าที่ที่จะต้องให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่มุ่งหวังผลตอบแทนใด ๆ หรือจุดมุ่งหมายใดๆ แนวคิดของค้านจึงเห็นว่าเรื่อง “ความดี ความชั่ว ความถูก ความผิดนั้นเป็นสิ่งที่ตายตัว หมายความให้ชัดเจนคือว่า ถ้าการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดีมันจะต้องดีเสมอโดยไม่ขึ้นอยู่กับเวลา สถานที่ สิ่งแวดล้อม หรือตัวบุคคลใด ๆ เลย เช่นพูดความจริงไม่ว่าพูดเวลาไหนที่ไหนย่อมดีเสมอ ไม่มีอะไรในโลกที่จะคิดว่า เป็นสิ่งที่จะวัดความดีความชั่วได้นอกจากเจตนาดี ค้านถือว่า “การกระทำที่เกิดจากเจตนาดี คือการกระทำตามหน้าที่หรือที่จะพูดว่าการกระทำตามหน้าที่ก็คือการกระทำด้วยเจตนาดีนั่นเอง....การกระทำตามหน้าที่มิใช่การกระทำที่มุ่งไปสู่ผลประโยชน์ หรือการลงโทษของการกระทำ แต่มุ่งไปที่ตัวการกระทำนั้นๆ ว่าเป็นสิ่งที่ดีจริงในตัวมันเอง การกระทำตามหน้าที่ ที่จะเป็นหลักศีลธรรมได้ต้องเป็นการกระทำที่เป็นหลักสากล หมายความว่าเมื่อเราทำแล้วคนอื่นเห็นก็รู้สึกเหมาะสมหรือคนอื่นทำแล้วเราดูอยู่ก็รู้สึกเหมาะสม แนวคิดของค้านพยามหาความเป็นกฎสากลที่ทุกคนสามารถเอามาเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับทุกคน โดยไม่มีข้อยกเว้น
จริยศาสตร์คุณธรรมได้แก้ปัญหาของจริยศาสตร์ของค้านคือ ควรให้ความสำคัญกับบุคคลให้มากเน้นการให้ความสำคัญแก่ตัวบุคคล และต้องทำแก่คนอื่นโดยมิได้มองเขาในฐานะเป็นจุดหมายที่จะไปถึงแต่จริยศาสตร์คุณธรรมได้อธิบายว่าในความเป็นจริงปัจเจกแต่ละคนมีธรรมชาติที่ไม่เหมือนกันแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือต้องการเลียนแบบจากแบบที่สังคมยอมรับ ดังนั้นการมองการกระทำที่เป็นเกณฑ์ที่ตายตัวแม้จะกล่าวว่าเป็นกฎสากลที่มาจากการใช้เหตุผลแล้วก็ตาม ก็ยังเป็นการให้ความสำคัญกับความเป็นตัวตนของมนุษย์หรือความเป็นปัจเจกที่ยังน้อยอยู่ จริยศาสตร์คุณธรรมเสนอให้จริยศาสตร์แบบกฎที่ตายตัวหรือมองแต่เพียงว่าเจตนาดีแล้วก็เป็นเกณฑ์ตัดสินว่าเป็นคนดีแล้วนั้น มันไม่เพียงพอ เพราะว่าเจตนาดีแต่ขาดความรอบคอบ การมองอะไรเพียงแค่คิดว่าเจตนาดีแล้วเป็นอันจบกันไป อาจนำไปสู่การไม่สามารถแก้ปัญหาหรือการให้คุณค่าบุคคลตัวผู้กระทำและผลอันดีที่จะตามมาเพราะการให้ความสำคัญเพียงอย่างเดียวในเรื่องกฎ ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมากมายและพิสดารหรือแตกต่างกัน ทำให้มองได้ว่าเป็นจริยศาสตร์ที่ลดลิดรอนความเป็นมนุษย์ กลายเป็นว่าเป็นแนวคิดที่มองมนุษย์เป็นแบบเครื่องจักรที่มีชีวิตเท่านั้น จริยศาสตร์คุณธรรมจึงเน้นให้มองเห็นถึงความเป็นปัจเจกที่ต้องให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหน้าที่ที่ต้องทำแก่มนุษยชาติเท่านั้น
ปัญหาทฤษฎีของโทมัส ฮอบส์(
Thomas Hobbes) ในการตัดสินปัญหาทางจริยธรรม
ฮอบส์ (Thomas Hobbes) เป็นพวกสัมพัทธ์นิยมที่เชื่อว่าความดี ความชั่ว ขึ้นอยู่กับบุคคล ฮอบส์กล่าวว่าอะไรก็ตามที่คนชอบ คนก็อยากได้หรือเป็นสิ่งที่ตรงกับความชอบความอยากได้ ของคน คนก็ว่าดี อะไรที่เขาไม่ชอบหรือเป็นสิ่งที่เขาเกลียด เหยียดหยาม เขาก็ว่าสิ่งนั้นไม่ดี สัมพัทธ์นิยมเป็นความเชื่อเรื่องมาตรการที่เป็นเกณฑ์ตัดสินเรื่องจริยธรรมที่เป็นสากลหรือที่แน่นอนตายตัวไม่มี...ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและปัจจัยหลายอย่าง ในสถานการณ์หนึ่งอาจจะตัดสินว่าดี หรือถูก แต่ในอีกสถานการณ์หนึ่งอาจจะตัดสินว่าผิดก็ได้ เกณฑ์ที่จะเป็นตัวตัดสินค่าทางจริยธรรม มีหลายเกณฑ์ แต่ไม่มีเกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งว่าดีสูงสุดกว่าเกณฑ์อื่นได้
จริยศาสตร์คุณธรรมได้แก้ปัญหาจริยศาสตร์แบบสัมพัทธ์คือ เสนอว่าให้มองเรื่องมนุษย์เป็นเรื่องสำคัญเอาเฉพาะเรื่องไม่ใช่ทุกเรื่องแต่ไม่ควรเอาตามความต้องการและแปรเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมโดยมิได้ยึดเอาอะไรที่เป็นเกณฑ์ตัดสิน หรือเอาตามความชอบใจของแต่ละคนเป็นใหญ่เพราะมิฉะนั้นจะเกิดปัญหาในเรื่องของการทำอะไรที่ขาดการเอาใจใส่ต่อผู้อื่นและเป็นการเอาแต่ได้เอาตามความพึงพอใจของตนเอง จริยศาสตร์คุณธรรมได้พยายามประนีประนอม ในเรื่องความต้องการธรรมชาติมนุษย์โดยได้ให้ความสนใจและเสนอให้เอาเกณฑ์ในการมองเข้าถึงความต้องการของปัจเจกบุคคลและประนีประนอมกับการนำมาใช้ในการวิเคราะห์ถึงเรื่องที่สังคมหรือผู้อื่นพึงได้รับโดยไม่ให้กระทบกระทั่งกับสมาชิกของสังคมเพื่อให้เป็นแนวคิดที่เป็นเรื่องที่ช่วยคลี่คลายปัญหาได้จริง
จริยศาสตร์คุณธรรมแบบพุทธ
จริยศาสตร์คุณธรรมแบบพุทธควรมีลักษณะที่ยืดหยุ่น เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบความจริง(ตามความเป็นจริงเป็นสัจจธรรม) หรือมีอยู่แล้วในธรรมชาติ หรือมีอยู่ในวิถีชีวิตคนเราเพียงแต่ว่ามนุษย์มองไม่เห็นกัน และหากมองว่าพุทธจริยศาสตร์เป็นแบบกฎตายตัวก็ไม่เหมาะเช่นกัน ในเมื่อธรรมะเป็นเรื่องของโลกมนุษย์และมนุษย์โลก ก็ควรที่จะนำมาใช้ได้อย่างไม่จำกัดสถานที่ เวลา บุคคลฯลฯ และพระพุทธเจ้าก็ได้นำหลักธรรมนั้นมาแสดงแก่คนต่างกรรมต่างวาระกัน การนำเอาธรรมะมาใช้ก็ไม่ควรจะไม่สามารถอำนวยประโยชน์ได้อย่างจำกัดบุคคล สถานที่ ฯลฯ เพื่อจะเหมาะสมกับการอธิบายและเป็นเกณฑ์ในการตัดสินโดยไม่ได้มองพุทธจริยศาสตร์ในแง่ของกฎตายตัวหรือการกระทำ(กิริยวาท) ผลของการกระทำ(ประโยชน์จำนวนมาก) ...หรือให้ตัดสินเอาตามกรณี(วิภัชชวาท) ...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ควรที่จะมองในความเป็นกลาง คือให้ดูเป้าหมายของผู้กระทำที่จะพยายามไปให้ถึง...ที่มาจากแรงจูงใจที่เกิดจากฉันทะที่เป็นกุศลเพื่อเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ เพราะหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นการแสดงธรรมที่เกิดขึ้นในสภาวะ...และเหตุการณ์ที่หลายหลาก และขึ้นอยู่กับบุคคลที่แตกต่างกันด้วย การใช้หลักเพียงหลักใดหลักหนึ่งในการตัดสินคงไม่เกิดผลดี เพราะในหลักธรรมพระพุทธศาสนาแม้จะมีหลักที่เป็นกฎที่ว่าด้วยความเที่ยงแท้ของสัจธรรมความจริง เช่น พระนิพพาน อริยสัจจ์ ๔ หรือแม้แต่ตัวธรรมะ ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่เอง ฯลฯ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นปัจจัยเพื่อให้เข้าถึงด้วยในตัวมันเองได้ แต่ความสำคัญอยู่ที่กระบวนการ หรือวิธีการเข้าถึงเป็นปัจจัยผลักดันที่สำคัญ ซึ่งจะสามารถเกิดขึ้นได้นั้นก็จะต้องอาศัยหลักการในตัวหลักธรรมนั้นด้วย....รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสนับสนุนที่เป็นปัจจัยหนุนเสริม ฯลฯ กล่าวคือทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ของบุคคลและสังคมในการเป็นตัวผลักดัน เมื่อจะเอาหลักเกณฑ์ในการตัดสินก็จะต้องอาศัยการพิจารณ์ถึงตัวแปรต่างๆ รอบด้านก็จะเป็นไปอย่างเหมาะสมและยืดหยุ่นกับการนำหลักธรรมะไปใช้ ไม่ใช่เพื่อการสนองตอบต่อความพึงพอใจ พึงได้หรือพึงถึง
[*]
เป็นบทความในวิชา จริยศาสตร์วิเคราะห์,๒๕๕๑. (ปรัชญา รุ่น ๑๙).นำมาลงใหม่
เขียนใน
GotoKnow
โดย
พระจาตุรงค์ อาจารสุโภ
ใน
คนวัยเรียนรู้
คำสำคัญ (Tags):
#virtue
#จริยศาสตร์
#จริยศาสตร์คุณธรรม
หมายเลขบันทึก: 436478
เขียนเมื่อ 22 เมษายน 2011 16:47 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:41 น. (
)
สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกัน
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (1)
อิงจันทร์ บ้านกลอนไฉไล
เขียนเมื่อ 22 เมษายน 2011 20:01 น. (
)
กราบนมัสการเจ้าค่ะ
แวะมาอ่านบทความค่ะ
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
พระจาตุรงค์ อาจาร...
สมุด
คนวัยเรียนรู้
จริยศาสตร์คุณธรรม
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท