บทนำ
รพินทรนาถ ฐากูร นักปราชญ์เมธีชาวอินเดียได้เปรียบเทียบความแตกต่างในการมองโลกและธรรมชาติระหว่างอารยธรรมตะวันตกและตะวันออกไว้ว่า อารยธรรมตะวันตกถูกสร้างขึ้นบนก้อนอิฐ ไม้ เหล็ก และฝังรากลึกอยู่ในเมือง ในขณะที่วัฒนธรรมตะวันออกก่อกำเหนิดจากป่า ทำให้ผู้คนมีมุมมองต่อธรรมชาติแวดล้อมในฐานะของการรวมเป็นหนึ่งเดียว ในท่ามกลางความหลากหลายแห่งสรรพสิ่งและสรรพชีวิตบนพื้นพิภพ ด้วยเหตุนี้วิธีการคิดของคนตะวันออกจึงมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันของสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นระบบนิเวศ ซึ่งสอนให้มนุษย์เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสรรพชีวิตทั้งหลายและความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันเอง และการตระหนักรู้ว่าชีวิตได้รับการหล่อเลี้ยงจากธรรมชาติ และความต่อเนื่องยั่งยืนของชุมชนสังคมจะมีได้ก็ต่อเมื่อมีความยั่งยืนและความหลากหลายของธรรมชาติที่สนองตอบความต้องการของมนุษย์ทั้งในด้านอาหาร น้ำ ที่อาศัย และยารักษาโรค ความเกื้อกูลซึ่งกันและกันระหว่างสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นรากฐานของความอุดมสมบูรณ์และความยั่งยืน ทั้งยังเป็นบ่อเกิดของกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตและสังคม หากแต่ในสภาพการณ์ทางสังคมของการเรียนรู้ในปัจจุบันที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดทางตะวันตก ความรู้ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของการดำเนินชีวิตถูกมองว่าเป็นเรื่องของเทคนิค เกี่ยวกับการอ่านออกเขียนได้ เพื่อการเอาชนะผู้อื่นและธรรมชาติ เพื่อการแสวงหาและตอบสนองความต้องการส่วนตน ในลักษณะเช่นนี้มนุษย์จึงมีมุมมองต่อธรรมชาติในฐานะของการเป็นทรัพยากรเพื่อเป็นพื้นฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จนนำมาสู่ช่องว่างและการเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนการล้างผลาญทำลายธรรมชาติจนเสื่อมทรามอย่างรวดเร็ว และได้ส่งสัญญาณเตือนมายังมนุษย์ด้วยสภาวะเรือนกระจก ปัญหาโลกร้อน สารพิษปนเปื้อนในอาหาร อากาศและแหล่งน้ำ การลดลงของพื้นที่ป่า การสูญเสียทรัพยากรชีวภาพ และพันธุกรรม การขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ฯลฯ (ยศ สันติสมบัติ , 2537, หน้า 1-12)
โดยเฉพาะทรัพยากรน้ำซึ่งเป็นส่วนประกอบ 3 ใน 4 ส่วนของโลก และ 97 % ของน้ำทั้งหมด เป็นน้ำเค็ม ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้ได้โดยตรง มีเพียง 3 % ที่เป็นน้ำจืดที่และสามารถนำมาใช้ได้ประกอบด้วย น้ำใต้ดิน และน้ำผิวดินได้แก่ แม่น้ำ ลำธาร และทะสาบน้ำจืด ซึ่งน้ำจืดเหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค และใช้ประโยชน์เพื่อกิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่ เพื่อการเกษตร การประมง การอุตสาหกรรม และการผลิตไฟฟ้า ทั้งนี้เราจัดประเภทของน้ำให้เป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทหนึ่งเช่นเดียวกับดิน ป่า และแร่ธาตุ แต่น้ำกลับมีคุณสมบัติพิเศษบางประการที่แตกต่างไปจากทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ ประการแรกน้ำเคลื่อนที่ได้ ประการที่สองปริมาณน้ำทั้งหมดมีอยู่คงที่ตายตัว ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง และประการที่สามคือ น้ำเป็นพื้นฐานของชีวิต ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย และเป็นองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญของการมีชีวิตอยู่ของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศวิทยา ที่เกื้อกูลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งในลักษณะของการใช้เพื่อการอุปโภคและการบริโภค (วินัย วีระวัฒนานนท์ , 2536 , หน้า 18 –25)
ในอดีตน้ำเป็นทรัพยากรมีอยู่อย่างเหลือเฟือ ทำให้มีการใช้น้ำในกิจกรรมต่าง ๆ อย่างขาดความระมัดระวัง และมิได้คำนึงถึงคุณค่าของน้ำ ต่อมาเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเร่งรัดกิจกรรมต่างๆเพื่อการพัฒนาประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ความต้องการในการใช้น้ำเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งผลจากการผันแปรของธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความแห้งแล้ง ทำให้ปริมาณน้ำที่มีอยู่ไม่สามารถสนองตอบความต้องการได้อย่างพอเพียง ซึ่งพบว่า มนุษย์มีความต้องการน้ำเพื่อความอยู่รอด และความเป็นปกติสุขของร่างกาย โดยเฉลี่ยร่างกายมนุษย์ต้องการน้ำวันละ 1 ลิตร และยังมีความต้องการใช้น้ำสำหรับการอุปโภคบริโภคภายในครัวเรือน ความต้องการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรม และในภาคเกษตรกรรม ซึ่งเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นทำให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำก็ผันแปรตาม
(วันเพ็ญ สุรฤกษ์ , 2535 , หน้า 9 – 15) ในขณะเดียวกัน คุณภาพของน้ำในปัจจุบันกำลังเป็นปัญหาด้านสภาวะแวดล้อมและสุขอนามัย อันเป็นผลเนื่องจากการปล่อยของเสียจากการบริโภคอุปโภคในครัวเรือน และจากกระบวนการผลิตด้านอุตสาหกรรมและการเกษตร ที่ได้สร้างความเสียหายต่อแม่น้ำลำคลองและส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำในสังคมส่วนรวม ทำให้เป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการบำบัด ซึ่งการบำบัดน้ำเสียเราจำเป็นต้องใช้น้ำในแม่น้ำลำคลองทั้งหมดเพื่อลำเลียงและเจือจาง กิจกรรมต่างๆ ทั้งหมดล้วนแต่มีความต้องการใช้น้ำเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ความเป็นจริงคือ ปริมาณของน้ำมีอยู่อย่างจำกัด จากสภาพการณ์ดังกล่าวนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ความต้องการใช้น้ำกำลังเข้าสู่วิกฤต อาจนำสู่ความขัดแย้งและการแย่งชิงทรัพยากรน้ำระหว่างเมืองกับชนบท และภาวะการแร้นแค้น ดังเช่น ปรากฏการณ์ของความแร้นแค้นในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศต่าง ๆ ในทวีปอาฟริกา และเอเซีย ได้ประสบเหตุการณ์การอดอยากแร้นแค้นอาหาร ด้วยสาเหตุจากความแห้งแล้ง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ความขัดแย้งและสงคราม และเหนืออื่นใดคือ สภาวะการขาดแคลนน้ำ ซึ่งสภาวะการขาดแคลนน้ำเป็นเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดความยุ่งยากมากมายต่อชีวิตมนุษย์ และเป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ เพราะหากปราศจากน้ำมนุษย์แทบไม่สามารถผลิตสิ่งใดได้ทั้งสิ้น (ยศ สันติสมบัติ , 2537. หน้า 15-32)
ด้วยเหตุที่น้ำเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับชีวิตและการพัฒนา สภาวะการขาดแคลนน้ำจึงเป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนามนุษย์ในทุก ๆ ด้าน ตราบใดที่เรายังไม่สามารถค้นพบวิธีการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างยั่งยืน ตราบนั้นการพัฒนามนุษย์และคุณภาพชีวิตย่อมไม่อาจบรรลุเป้าหมายแม้แต่น้อย ซึ่งสภาพปัญหาเรื่องน้ำ หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนมีความตระหนักและได้พยายามดำเนินนโยบายโดยวิธีการต่าง ๆ เพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างยั่งยืน อาทิวิธีการรีไซเคิลน้ำที่ใช้แล้วมาผ่านกระบวนการผลิตเป็นน้ำประปาใหม่และการขุดบ่อบาดาลเพิ่มขึ้น รวมทั้งการรณณรงค์ให้ผู้คนในสังคมเกิดจิตสำนึกในการใช้น้ำอย่างประหยัดโดยวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการเพียงพอกับปริมาณน้ำที่สามารถจัดหาได้ ซึ่งกระบวนการกระตุ้นสร้างจิตสำนึกเพื่อให้เกิดการใช้น้ำอย่างประหยัดและการร่วมดูแลรักษาน้ำ ควรเริ่มขึ้นจากบุคคลแต่ละบุคคลที่อยู่ในครอบครัวซึ่งเป็นหน่วยเล็กที่สุดของสังคมที่ต้องสร้างลักษณะนิสัยร่วมกัน ตลอดจนช่วยตักเตือนแนะนำคนรอบข้างให้เกิดจิตสำนึกร่วม(อภิชาต อนุกุลอำไพ , 2535 ,หน้า 134 – 135) ในที่นี้สถานศึกษาจึงควรมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนัก ปลุกจิตสำนึกต่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างรู้คุณค่า ให้แก่กลุ่มเยาวชนซึ่งจะต้องเติบโตเป็นผู้บริโภคที่สำคัญในอนาคต ดังนั้นรัฐบาลจึงได้กำหนดให้มีการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมให้กับผู้เรียนในแต่ละระดับ ทั้งในลักษณะของการกำหนดเป็นรายวิชาและการบูรณาการสอดแทรกในเนื้อหาเพื่อสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ให้แก่ผู้เรียน แต่ก็ยังพบว่า ผลการจัดการเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์เท่าที่ควรอันเนื่องมาจากกระบวนการของการจัดการเรียนการสอนยังคงเป็นลักษณะของการมุ่งเน้นเนื้อหาสาระ สอนโดยการบรรยาย ขาดการจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อการกล่อมเกลาเพื่อซึมซับให้เกิดความตระหนักรู้ และซึมซับสะสมเป็นลักษณะนิสัย (กระทรวงศึกษาธิการ , 2539) นอกจากนี้กระบวนการเรียนรู้กล่อมเกลาเกี่ยวกับคุณค่าของน้ำยังมิได้มีการกระทำอย่างจริงจังในสถานศึกษาต่าง ๆ
วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่เป็นสถานศึกษาสังกัดสถาบันอาชีวศึกษาภาคเหนือ 1 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเพื่อเตรียมกำลังทรัพยากรบุคคลด้านการเกษตร โดยมีเขตพื้นที่รับผิดชอบคือ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอนและลำพูน ได้ทำการเปิดสอนสาขาเกษตรกรรมทั้งในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) มาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี สำหรับในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ได้ดำเนินการจัดการเรียนการสอนที่สนองนโยบายของรัฐบาลในการขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่บุตรหลานเกษตรในชนบทที่ยากจนและห่างไกลเข้าศึกษาในหลักสูตรโครงการปฏิรูปการศึกษาเกษตรเพื่อชีวิต โดยรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 เข้ามาศึกษาต่อในลักษณะนักเรียนประจำเป็นระยะเวลา 3 ปี ในระหว่างการศึกษาผู้เรียนจะได้รับสวัสดิการด้านสุขภาพ ที่อยู่อาศัยอาหาร และยกเว้นค่าเล่าเรียนรวมทั้งค่าหน่วยกิต สำหรับหลักสูตรการเรียนการสอนจะมุ่งเน้นการเสริมสร้างทักษะและประสบการณ์แก่ผู้เรียน โดยผสมผสานระหว่างการเรียนการประกอบอาชีพ และการทำโครงงานด้านการเกษตร เพื่อการเตรียมสู่การเป็นเกษตรกรที่มีคุณภาพในการผลิตและการจัดการ รวมทั้งสามารถดำรงตนในสังคมได้อย่างเหมาะสม ในลักษณะของการจัดการหลักสูตรเช่นนี้ ทำให้ผู้เรียนในโครงการปฏิรูปการศึกษาเกษตรต้องมีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติต่าง ๆ อาทิ ดิน ป่า และน้ำ ทั้งในฐานะของผู้ใช้และผู้อนุรักษ์โดยเฉพาะเกี่ยวกับน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของระบบการผลิต ดังนั้นหากมีการปลูกฝังกล่อมเกลาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และฝึกปฏิบัติตอกซ้ำย้ำทวนในการใช้น้ำ ด้วยความตระหนักซาบซึ้งในคุณค่า ย่อมเกิดการซึมซับเป็นลักษณะนิสัยการประพฤติปฏิบัติต่อทรัพยากรน้ำ ส่งผลต่อการสร้างสรรค์พฤติกรรมส่วนบุคคลและพฤติกรรมสาธารณะทั้งในปัจจุบันและอนาคต ตลอดจนพัฒนาสร้างเป็นเครือข่ายการเรียนรู้ของกลุ่มผู้อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างเหมาะสม
จากปรากฏการณ์ดังกล่าว จึงนำมาสู่ความสนใจในการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อแสวงหาวิธีการจัดการกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เพื่อการกล่อมเกลาบ่มเพาะให้เกิด การเรียนรู้ในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างเหมาะสม ก่อให้เกิดความตระหนักและจิตสำนึก ที่ซึมซับเป็นลักษณะนิสัย ซึ่งเชื่อว่า ผลที่ได้จากการศึกษาจะก่อให้เกิดองค์ความรู้ในการจัดการเรียนรู้เรื่องน้ำที่สามารถสร้างลักษณะนิสัยให้แก่นักศึกษา อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการใช้ทรัพยากรและพลังงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
ทรัพยากรน้ำให้แก่นักศึกษาอาชีวเกษตร
2. เพื่อศึกษาผลของการจัดการกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างจิตสำนึกในเรื่องทรัพยากรน้ำ
ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย
ประโยชน์ทางวิชาการ
1. ได้ทราบถึงรูปแบบ วิธีการ ในการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมตลอดจน ผลการจัดการกระบวนการรูปแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างจิตสำนึกในเรื่องทรัพยากรน้ำให้แก่นักศึกษาอาชีวเกษตร
กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างจิตสำนึกต่อทรัพยากรน้ำให้แก่นักศึกษาอาชีวเกษตร
ประโยชน์ทางการปฏิบัติการ
1. นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการศึกษาวิจัยเกิดการความรู้ ความเข้าใจ และจิตสำนึกในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากน้ำ นำไปสู่การแสดงพฤติกรรมการอนุรักษ์และการใช้น้ำที่เหมาะสมทั้งในส่วนบุคคลและสาธารณะ
2. องค์ความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาสามารถนำไปส่งเสริมแนวคิดในการจัดกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาพฤติกรรมที่เหมาะสมด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้เรียน
ขอบเขตในการวิจัย
ขอบเขตด้านเนื้อหา
- รูปแบบในการเรียนรู้เพื่อสร้างจิตสำนึกต่อทรัพยากรน้ำให้แก่นักศึกษาอาชีวเกษตร
- วิธีการในการเรียนรู้เพื่อสร้างจิตสำนึกต่อทรัพยากรน้ำให้แก่นักศึกษาอาชีวเกษตร
- ผลของการจัดการกระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างจิตสำนึกต่อทรัพยากรน้ำ
ขอบเขตด้านพื้นที่
สำหรับการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ได้ทำการศึกษานักศึกษาที่กำลังศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตร
วิชาชีพชั้นต้น ชั้นปีที่ 3 (ปวช. 3) ในโครงการปฏิรูปการศึกษาเกษตรเพื่อชีวิต ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่ จำนวนทั้งสิ้น 30 คน ประกอบด้วยนักศึกษาชายและหญิงในสัดส่วนที่เท่ากัน การที่เลือกศึกษาในกลุ่มนักศึกษาดังกล่าวเพราะว่า ในรูปแบบการจัดการศึกษาของโครงการเกษตรเพื่อชีวิตนั้น นักศึกษาทุกคนจะต้องพักอาศัยร่วมกันในหมู่บ้านนักศึกษา ทำให้ต้องมีการปฏิสัมพันธ์จากการทำกิจกรรมร่วมกันในลักษณะต่าง ๆ มีการใช้ทรัพยากรน้ำร่วมกันในวิถีประจำวัน ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้สร้างสมพฤติกรรมส่วนบุคคลและสาธารณะ ตลอดจนลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมย่อยบางประการร่วมกัน
นิยามศัพท์
การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม หมายถึง กระบวนการที่นักศึกษามีบทบาทสำคัญในการมีส่วน
ร่วมในการวางแผนการเรียนรู้ การคิดค้น การแสวงหาคำตอบ โดยวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า ผ่านการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง โดยผู้วิจัยมีบทบาทในการจัดประสบการณ์ ในการเรียนรู้เกี่ยวกับเนื้อหา และวิธีการภายใต้บรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้
วิธีการเรียนรู้ หมายถึง แนวทาง เทคนิค การปฏิบัติ การติดตามประเมินผล การสรุปผลการเรียนรู้
จิตสำนึก หมายถึง ความตระหนัก ความรับผิดชอบ ในสิ่งที่คิดที่กระทำอยู่เสมอ เห็นความ
สำคัญ ความจำเป็น และความรับผิดชอบในสิ่งนั้น ในที่นี้หมายถึง จิตสำนึกต่อการใช้ทรัพยากรน้ำ
นักศึกษาอาชีวเกษตร หมายถึง นักศึกษาที่กำลังศึกษาภายใต้โครงการปฏิรูปการศึกษาเกษตร
เพื่อชีวิต สังกัดวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่
การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ เป็นการมุ่งสร้างจิตสำนึกที่เหมาะสมในเรื่องการใช้และการอนุรักษ์น้ำ ซึ่งเป็นกระบวนการที่จำเป็นต้องใช้การฝึกฝนบ่มเพาะตอกซ้ำย้ำทวนเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจความซาบซึ้งตระหนักถึงคุณค่า และสถานการณ์ของทรัพยากรน้ำ ตลอดจนสามารถวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างน้ำกับสรรพสิ่ง และพฤติกรรมที่เหมาะสมในการใช้และการอนุรักษ์น้ำ ดังนั้นการวิจัยลักษณะเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานเวลาและความตั้งใจจริงในการเรียนรู้เพื่อแสวงหาคำตอบร่วมกันระหว่างผู้วิจัยและนักศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรม ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงใช้วิธีการคัดสรรจากนักศึกษาที่แสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการวิจัย
ฉะนั้นการนำเสนอผลการวิจัย จึงเป็นการอธิบายถึงกระบวนการในการสร้างจิตสำนึกจากบริบทของนักศึกษาที่มีความสนใจและความตระหนักร่วมในคุณค่าของน้ำเป็นพื้นฐาน ประกอบกับสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาที่มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ผู้เรียนต้องสัมผัสสัมพันธ์กับการใช้ประโยชน์จากน้ำเพื่อการเกษตร รวมทั้งจากการที่นักศึกษาทั้งหมด มีลักษณะกิจกรรมประจำวันในรูปแบบของนักศึกษาประจำ ที่มีการกำหนดกฎระเบียบในการอยู่และใช้ทรัพยากรต่างๆ ร่วมกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยแวดล้อมสำคัญที่ส่งผลต่อการสร้างจิตสำนึกในเรื่องน้ำ
เนื่องจากการศึกษาวิจัยเพื่อการสร้างจิตสำนึกของบุคคลเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มเพาะ หากแต่ข้อจำกัดเรื่องกรอบระยะเวลาในการดำเนินการที่กำหนดเพียงหนึ่งปี ซึ่งเวลาจำนวนดังกล่าว ทำให้สามารถอธิบายผลของการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดลักษณะพฤติกรรมการรับรู้ การข้าใจสามารถคิดวิเคราะห์ และนำสู่การปฏิบัติ ซึ่งชี้สะท้อนถึงจิตสำนึกได้ในระดับหนึ่ง หากแต่ในส่วนของความถาวรของพฤติกรรมคงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการติดตามประเมินผล
ไม่มีความเห็น