คุยกับ..ครูเหรก.......ถึงผลของรังสีต่อสิ่งมีชีวิต…


ผลกระทบจากรังสี

อดิเรก เสมามอญ 

* ธรรมชาติของรังสี 

สารกัมมันตรังสีคืออะไร
                  คือสสารหรือธาตุที่เรารู้จักกันทั่วๆไป เช่น ออกซิเจน คาร์บอน ไอโอดีน โปแตสเซี่ยม ฯลฯ โดยที่อะตอมของธาตุเหล่านี้ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ โปรตอน นิวตรอนและอิเลคตรอน การที่อะตอมของธาตุจะมีเสถียรภาพ ไม่สลายตัวไปส่วนประกอบทั้งสามจะต้องสมดุลย์กัน ถ้าไม่สมดุลย์จะต้องมีวิธีทำให้อยู่ในสภาพเสถียรโดยการปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของรังสี อะตอมของธาตุที่มีการปลดปล่อยรังสีเช่นนี้เรียกว่าสารกัมมันตรังสี ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปปริมาณรังสีก็จะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ระยะเวลาที่สารกัมมันตรังสีลดลงเหลือครึ่งหนึ่งเราเรียกว่าค่าครึ่งชีวิตของการสลายตัว ซึ่งมีค่าที่แตกต่างกันไปตามชนิดของธาตุต่างๆโดยอาจสั้นเป็นวินาทีหรืออาจจะนานเป็นล้านๆปีได้ ธาตุต่างๆนั้นสามารถพบได้ทั้งที่อยู่ในสภาวะเสถียรคือไม่มีการปล่อยรังสี และที่มีการปลดปล่อยรังสี เช่นไอโอดีน ซึ่งแม้ว่าสภาวะความเสถียรจะต่างกันแต่มีคุณสมบัติอื่นๆเหมือนกันทุกประการ

  • สารกัมมันตรังสีมีอันตรายหรือไม่และอย่างไร
                    รังสีมีหลายชนิดและมีแหล่งกำเนิดได้จากหลายๆแหล่งเช่นจากสารกัมมันตรังสีดังกล่าวข้างต้นหรือจากการผลิตขึ้นโดยมนุษย์เช่นเครื่องเอกซเรย์ เป็นต้น ถ้าเป็นรังสีชนิดเดียวกันแล้วไม่ว่าจะมาจากแหล่งใดก็มีคุณสมบัติเหมือนกัน นั่นคือถ้ารังสีเดินทางผ่านเซลล์ของร่างกายมนุษย์ก็จะทำอันตรายต่อสารพันธุกรรมในเซลล์ให้ได้รับความเสียหาย แต่โดยทั่วไปแล้วถ้าปริมาณรังสีที่ร่างกายได้รับมีปริมาณน้อย ความเสียหายต่อสารพันธุกรรมก็น้อยร่างกายเราสามารถทำการซ่อมแซมให้กลับมาดีเหมือนเดิม ถ้าปริมาณรังสีมากขึ้นความเสียหายก็จะมากขึ้นจนร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับคืนเหมือนเดิมได้ทั้งหมด และโดยที่สารพันธุกรรมมีหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ ดังนั้นเมื่อสารพันธุกรรมได้รับความเสียหายการควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ก็ผิดปกติไป เช่นเซลล์เจริญเติบโตโดยไม่สามารถควบคุมได้จนกลายเป็นมะเร็งเป็นต้น แต่มิใช่ว่าจะต้องเกิดมะเร็งเสมอไป โดยปกติถ้าภูมิต้านทานของร่างกายเราแข็งแรงดีและปริมาณเซลล์ที่ผิดปกติเหล่านั้นมีจำนวนไม่มากภูมิต้านทางของร่างกายก็จะสามารถกำจัดเซลล์เหล่านั้นให้หมดไปได้ไม่เจริญต่อไปเป็นมะเร็ง ผู้ที่ได้รับปริมาณรังสีในกรณีข้างต้นนั้นจะไม่รู้สึกหรือไม่มีอาการผิดปกติใดๆเลย หากร่างกายไม่สามารถกำจัดเซลที่ผิดปกติเหล่านั้นให้หมดไปได้ เซลก็จะค่อยๆเจริญเติบโตอย่างผิดปกติไปเรื่อยๆจนเกิดอาการหรือพบความผิดปกติได้ในภายหลังเป็นเดือนเป็นปีหรือเป็นหลายสิบปีได้ ถ้าได้รับรังสีในปริมาณมากขึ้นอีกความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเซลมากจนเซลไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้และตายไปเอง ในกรณีนี้ผู้ที่ได้รับรังสีก็จะมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นอย่างทันทีหรือ 2-3 วันหลังได้รับรังสี ทั้งนี้อาการจะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับได้รับรังสีมากน้อยเพียงใด อาการที่อาจพบได้เช่นคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ผมร่วง ผิวหนังอักเสบ มึนงง สับสน เซลล์เม็ดเลือดและเกร็ดเลือดถูกทำลาย มีเลือดออกในทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกันบกพร่องไป และสุดท้ายถ้าได้รับรังสีในปริมาณสูงมากผู้นั้นจะเสียชีวิตได้ในทันที

 **  จะรับประทานยาไอโอดีนดังกล่าวป้องกันไว้ก่อนเลยดีหรือไม่ ***

                  จำเป็นหรือไม่ขึ้นกับ 2 ปัจจัยคือโอกาสที่จะได้รับไอโอดีนรังสีเข้าไปสะสมในต่อมไทรอยด์ในปริมาณที่มากน้อยแค่ไหน และโอกาสที่จะเกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์มากน้อยแค่ไหน เด็กเล็กจะมีโอกาสที่จะเกิดมะเร็งมากกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้นถ้าปริมาณไอโอดีนรังสีในบรรยากาศมีน้อยก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรับประทาน ถ้ามีปริมาณมากขึ้นอีกหน่อยและอายุน้อยก็ควรจะต้องรับประทานแต่ถ้าอายุมากแล้วก็อาจจะยังไม่จำเป็น มีข้อแนะนำว่าถ้าอายุมากกว่า 40 ปีแล้วโอกาสที่จะเกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์จากกรณีนี้น้อยมากไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานยาแต่อย่างใดนอกเสียจากว่ามีโอกาสที่จะได้รับปริมาณรังสีมากในขนาดที่ต่อมไทรอยด์อาจจะถูกรังสีทำลายจนหมดได้

** จะทราบได้อย่างไรว่าเมื่อใดควรจะรับประทานยาไอโอดีนดังกล่าว
               ไม่แนะนำเนื่องจากการรับประทานยาไอโอดีนที่ไม่มีรังสีก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้ ที่สำคัญที่สุดคืออาจเกิดอาการแพ้สารไอโอดีน หากรุนแรงมากอาจถึงเสียชีวิต ส่วนผลข้างเคียงอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นคลื่นไส้ อาเจียน เด็กเล็กๆอาจเกิดต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยลง ส่วนในผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้ที่มีความผิดปกติของต่อมไทรอยด์อาจทำให้เกิดอาการต่อมไทรอยด์เป็นพิษได้ แม้ว่าผลข้างเคียงดังกล่าวพบได้ไม่มากนักแต่หากไม่จำเป็นจริงๆก็ไม่ควรเสี่ยง

** จะทราบได้อย่างไรว่าเมื่อใดควรจะรับประทานยาไอโอดีนดังกล่าว
            เนื่องจากประชาชนทั่วไปไม่มีทางทราบได้เลยว่าตัวเองจะมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน และการคำนวณความเสี่ยงมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก จึงจำเป็นต้องใช้วิธีฟังข่าวจากหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่ในการเฝ้าระวังปริมาณการปนเปื้อน สำหรับประเทศไทยได้แก่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นก็ควรฟังข่าวจากทางการญี่ปุ่นว่าบริเวณใดมีการปนเปื้อนมากถึงระดับที่ต้องรับประทานยาเพื่อป้องกัน

***  ถ้าต้องรับประทานยาดังกล่าวจะต้องรับประทานอย่างใด
                    เนื่องจากยาไอโอดีนจะสามารถป้องกันไม่ให้ไอโอดีนรังสีเข้าสู่ต่อมไทรอยด์เท่านั้น หากไอโอดีนรังสีเข้าสู่ต่อมไทรอยด์แล้วก็จะไม่ได้ผล เนื่องจากไอโอดีนจะค่อยๆถูกจับเข้าสู่ต่อมไทรอยด์ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก ดังนั้นยิ่งได้รับยาช้าเท่าใดก็จะมีผลป้องกันน้อยลงเท่านั้น จึงควรรับประทานยาก่อนที่จะได้รับไอโอดีนรังสีอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก็จะได้ผลดีที่สุด และยาจะมีผลป้องกันอยู่เป็นเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง จึงจำเป็นที่จะต้องรับประทานยาดังกล่าวทุกๆ 24 ชั่วโมงหรือวันละครั้งจนกว่าจะออกจากบริเวณที่ปนเปื้อน การรับประทานก็จะต้องรับประทานให้มากพอที่จะทำให้ต่อมไทรอยด์อิ่มตัว โดยแนะนำว่าสำหรับผู้ใหญ่ให้รับประทานยาโปแตสเซี่ยมไอโอไดด์วันละ 130 มิลลิกรัม ส่วนในเด็กก็ละปริมาณลงตามน้ำหนัก

****** การใช้ยาทาแผลที่มีไอโอดีนทาที่คอหรือรับประทานเกลือผสมไอโอดีนที่มีขายทั่วไปจะช่วยป้องกันได้หรือไม่     ไม่ได้เลยเนื่องจากปริมาณไอโอดีนที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีนี้น้อยมากไม่เพียงพอที่จะทำให้ต่อมไทรอยด์อิ่มตัวได้ และถ้ายิ่งได้รับไอโอดีนรังสีเข้าไปแล้วก็ยิ่งไม่มีผลใดๆเลย

******ยาไอโอดีนดังกล่าวไม่ สามารถป้องกันอันตรายจากรังสีชนิดอื่นๆหรือป้องกันการเกิดมะเร็งในอวัยวะอื่นได้หรือไม่ 

 

                                ท่านผู้อ่านบทความข้างต้นแล้วควรมีสติพิจารณา..ว่าผลต่างๆ ที่เกิดจากเหตุต้องไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ อย่าเชื่อในสิ่งที่เขาบอกมา ได้ยินมา อย่าตระหนก ..กลัว..จนมากเกินไป ใช้ชีวิตปัจจุบันอย่างไม่ประมาท เราก็จะอยู่อย่างมีความสุขได้.... แล้วอย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งประโยชน์และโทษ ....ถ้าเราใช้ไม่ถูกทาง หรือไม่ถูกขั้นตอน  ทุกอย่างต้องเดินสายกลาง  “มัชฌิมาปฏิปทา...”  ครับท่าน....

คำสำคัญ (Tags): #รังสี#ไอโอดีน
หมายเลขบันทึก: 431919เขียนเมื่อ 20 มีนาคม 2011 10:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ขอบคุณได้ความรู้ดี

ขอบคุณได้ความรู้ดี

มีความรู้ขึ้นมาอีกม๊ากมากเลยล่ะดี๊ดีจ้า

เป็นความรู้ที่มีประโยชน์มาก สงสารคนญี่ปุ่น มาก

ได้ความรู้ทันเหตุการณ์ดี เป็นความรู้ที่มีประโยชน์

แล้วเมืองไทยจะเอาไหม กับพลังงานแบบนี้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท