วันที่ 2 มีนาคม 2554 "สารี อ๋องสมหวัง" ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
ได้ส่งบทความเรื่อง ความในใจกลุ่มประชาชนผู้เสนอร่าง พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการบริการ สาธารณสุข ถึงสื่อมวลชน บทความดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
หลาย คนคงได้ทราบข่าว ของคุณปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา
ที่ถูกให้ออกจาก พื้นที่หน้ารัฐสภา หลังจากไปประท้วงด้วยการนอนค้างคืน
ร่วมกับเพื่อน ผู้เสียหายหน้ารัฐสภา
เพื่อผลักดันให้รัฐบาลพิจารณากฎหมายคุ้มครอง ผู้เสียหายทางการแพทย์ภายใน
เดือนกุมภาพันธ์นี้
กฎหมาย ฉบับนี้ เริ่มต้นเหมือนกับกระบวนการออกกฎหมายฉบับอื่น ๆ ของประเทศไทย
อาจ จะพิเศษหน่อยตรงที่มีหลายกลุ่มที่เกี่ยวข้องเข้าไปมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน
อาทิ เช่น การตั้งคณะทำงานจากเพื่อยกร่างกฎหมาย
และการเสนอกฎหมาย โดยกระทรวงสาธารณสุขผ่านคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการไป จัดทำรายละเอียดปรับปรุงกฎหมายในชั้นสำนักงาน
คณะกรรมการกฤษฎีกา
(ซึ่ง มีทุกฝ่ายและแน่นอนตัวแทนแพทยสภาเข้าร่วมประชุมทุกครั้ง)
มีการรับ ฟังความคิดเห็นจากกลุ่มวิชาชีพประมาณ 300 คน ในสมัยรัฐมนตรีวิทยา
แก้ว ภารดัย แต่เมื่อกฎหมายกำลังจะถูกพิจารณารับหลักการในชั้นสภา ผู้แทนราษฎร
ได้ ถูกคัดค้านจากแพทย์จำนวนหนึ่ง
กลุ่มผู้ที่คัดค้านกฎหมายฉบับ นี้ หยิบยกประเด็นค้านไปเรื่อยๆ ตั้งแต่
จะทำให้มีการฟ้องคดีอาญา แพทย์มากขึ้น แต่เมื่อมีการอธิบายว่า
สาระที่เขียนไว้ในกฎหมายเป็น ประโยชน์กับแพทย์ในคดีอาญา
ก็ยกประเด็นการไม่มีส่วนร่วมของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่ง
น่าเสียดายที่ไม่มีใครเปิดเผยรายชื่อแพทยสภา หรือแพทย์จากส่วนต่าง ๆ
ที่เข้าร่วมประชุมในการทำกฎหมายฉบับนี้เป็น ใครในชั้นคณะกรรมการกฤษฎีกา (อาทิ
นพ.สมศักดิ์ เจริญชัยปิยะกุล, นพ.เมธี วงศ์ศิริวรรณ )
และสุดท้ายประเด็นที่ “ขายได้” ในสังคมไทย คือ การปล่อยข่าวว่า
มีผู้เสนอกฎหมายจ้องหาผลประโยชน์ใน การบริหารกองทุน
ทั้งที่กองทุนนี้อยู่ในกระทรวงสาธารณสุข และ
กรรมการ เป็นเพียงกรรมการตามกฎหมายเหมือนกฎหมายฉบับอื่น ๆ ที่ผ่านมา
ซึ่ง ต่างจากข้อเสนอของกลุ่มประชาชนผู้เสนอกฎหมายที่ต้องการให้มีการบริหารกองทุ นเป็นอิสระดีกว่าอยู่ในกระทรวงสาธารณสุข
เพราะกระทรวงเป็นเจ้าของโรง พยาบาลจำนวนมาก
จึงอาจจะทำให้ไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ได้รับผล กระทบและผู้เสียหาย
ข้อกล่าวหาเรื่องประชาชนผู้เสนอกฎหมายมี ผลประโยชน์นอกจากจะไม่มีมูลแล้ว
หากติดตามการทำงานจะเห็นผลงานของ กลุ่มนี้ที่ช่วยตรวจสอบการทุจริตในสังคมมากมาย ทั้งทางตรงและทางอ้อม
หรือ แม้แต่การเทียบประวัติการทำงานของแต่ละฝ่ายกับเรื่องการหาผลประโยชน์
ไม่ แน่ใจว่า ผู้กล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวหากันแน่ที่ควรถูกตั้งข้อสงสัย
บาง คนเป็นข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขแต่มีชื่อไปปรากฏทำงานในโรงพยาบาลเอกชนในเว ลาราชการ
เมื่อมีความเห็นต่างในกฎหมาย
ภาคประชาชน ทุกฝ่ายซึ่งเดินหน้าเต็มที่เรื่องนี้ก็เห็นว่า
ก็ควรให้เวลาทำความ เข้าใจกฎหมาย กระบวนการทำความเข้าใจ
มีหลายทางทั้งทางสาธารณะซึ่ง เกิดขึ้นมาก ผ่านคณะทำงาน ไม่ยอมรับคณะทำงาน
ตั้งคณะทำงานใหม่ สุดท้ายได้ข้อสรุป 12 ประเด็นที่เห็นร่วมกัน
ทำให้แพทย์และกลุ่ม วิชาชีพที่เกี่ยวข้องจำนวนมากหรือส่วนใหญ่เห็นด้วยกับกฎหมาย ฉบับนี้
ซึ่ง เห็นได้จากการคัดเลือกกรรมการแพทยสภา
ที่กลุ่มแกนนำคัดค้านอย่างหัว ชนฝาไม่ได้รับการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม
น่าเสียดาย ที่เราไม่เห็นความกล้าหาญของผู้ประกอบวิชาชีพสายสาธารณสุขมากพอในการ ออกมาสนับสนุนทั้งที่เห็นประโยชน์
ยกเว้นผู้คัดค้านซึ่งไม่ฟังเหตุ ฟังผลอย่างคงเส้นคงวา
ไม่มีใครกล้าออกมาบอกว่าเห็นด้วยกับกฎหมายฉบับ นี้ เพราะ
หากใครออกมาบอกว่าเห็นด้วยก็จะโดนเล่นงานทั้งทางตรงทาง อ้อมในที่ลับและในที่แจ้ ง
ไม่เว้นแม้แต่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขที่ถูก เล่นงานเรื่องส่วนตัว
ถึงแม้กลยุทธการถ่วงเวลากฎหมายของ แพทย์กลุ่มหนึ่งจะประสบความสำเร็จในช่วงแรก
แต่ คิดว่า ปัจจุบันสังคมน่าจะได้เห็นถึงประโยชน์ของกฎหมายฉบับนี้
ที่มี เหตุการณ์เกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ หรือทั้งระบบประกันสังคม
และสวัสดิการ ข้าราการ ที่ไม่มีระบบช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อมีความเสียหาย
กฎหมาย ฉบับนี้จึงจะทำหน้าที่เป็นระบบที่ช่วยรองรับผู้ได้รับผลกระทบ
หรือ ความผิดพลาดที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ต้องขอบคุณนายก รัฐมนตรี ที่ยืนยันว่าอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์
ไม่ถอนและเดินหน้า กฎหมายฉบับนี้แน่นอน คงถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล
และสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรทั้งหลายต้องตัดสินใจสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้
เพราะทางกลุ่มคัด ค้านมีกฎหมายเข้าชื่อ 10,000
รายชื่อในการเสนอกฎหมายฉบับนี้เช่น เดียวกัน
ซึ่งรับประกันการมีส่วนร่วมในการทำกฎหมายที่เท่าเทียมกับ ภาคประชาชน
ในฐานะกลุ่มภาคประชาชนที่เสนอกฎหมายฉบับนี้ ขอเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎร
ตัดสินใจกฎหมายฉบับนี้ ว่าจะดำเนินการไปข้างหน้าหรือถอยหลัง
เพื่อบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ให้ลูกหลานไทยในอนาคตที่อาจตกเป็นผู้ได้รับผลกระ ทบหรือเสียหายจากการบริการสาธารณสุข
แล้วจนถึงขณะนั้นยังไม่มีระบบ เยียวยาใดๆ
หรือแม้แต่ผู้ประกอบวิชาชีพที่มีความตั้งใจในการทำงานแต่ ไม่มีระบบใดมาช่วยปกป้ องพวกเขาจากความผิดพลาดซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1299387121
----------------------------------- ----------------------------------- ----------------------------------- -----------------------------------
“ความ ในใจประชาชน(เช่นกัน)ผู้คัดค้านร่าง พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการ สาธารณสุข”
วันที่ 06 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 11:54:38 น.
http://www.facebook.com/sharer.php?u=http%3A%2F%2F
โดย นพ.สมศักดิ์ เจริญชัยปิยกุล
อนุสนธิว่าด้วยบทความ “ความในใจประชาชนผู้เสนอร่าง
พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับ บริการสาธารณสุข” ที่ลงในมติชนออนไลน์
เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๔ โดยคุณ สารี อ๋องสมหวัง
ทำนองต่อว่าผู้ที่คัดค้านร่างพรบ.ดังกล่าว
ใน ทำนองเสียหายหรือมีเจตนาแอบแฝงเพื่อไม่ให้มีการออกกฎหมายเพื่อช่วยเหลือ บุคคล ที่คุณสารีกล่าวอ้างว่าเป็น
“ผู้เสียหาย” หลังจากอ่านบทความจนจบแล้ว
ทำให้เข้าใจถึงวัฒนธรรมรากลึกที่หยั่ง อยู่ในมโนของคุณสารีดีขึ้นดังนี้
คุณสารีชอบเรียกตัวเองว่า ภาคประชาชน ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว ก็จะนำทัพด้วยคำว่า
“ภาคประชาชน” หรือ “ผู้บริโภค” ซึ่งทำให้อดวิตกไม่ได้ว่า
คุณสารีมีทัศนะส่วนตน ว่า
“คนอื่นที่มีความคิดเห็นต่างกับคุณสารีนั้นหาใช่ประชาชนไม่” จริงหรือไม่
และหากมิใช่คนที่สนับสนุนแนวคิดของคุณสารี เขาจะต้องเป็นคนบาปหรือไม่
ความจริงทุกคนที่เกิดมาเพราะยังไม่ สมบูรณ์จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดมาพบเจอกันอี ก
ผู้เขียนหรือแม้แต่ คุณสารีก็มิใช่ไม่มีข้อบกพร่อง
ท่านพุทธทาสถึงได้สอนว่าอย่า ไปเที่ยวจับผิดหรือวิจารณ์ข้อบกพร่องของผู้อื่น
เพราะทุกครั้งที่ชี้ นิ้วไปที่คนอื่น อีกสี่นิ้วชี้เข้าที่ตนเองเสมอ
พร้อมกันนี้ทำให้ผู้ เขียนอดนึกถึงภาพการ์ตูนที่มีคุณหมอท่านหนึ่งวาดบรรยายความ รู้สึกที่มีต่อกลุ่มบุคคลที่กระทำต่อบุคลากรทางสาธารณสุข
ในทำนองที่ มองเห็นบุคลากรเป็น “ข้าทาสรับใช้”ที่ต้องถูกบังคับให้ทำงาน
ห้ามต่อ ล้อต่อเถียง มิฉะนั้นจะถูกแส้โบยหลัง หรือออกข่าวให้เสียหายไว้ก่อน
โดย ไม่สนใจเหตุผลหรือสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา แม้เมื่อทราบความจริงทั้งหมดแล้ว
ก็ไม่เคยออกมายอมรับว่าตนเองด่วน ตัดสินคนอื่นเพราะความไม่รู้
ความใจร้อนหรืออคติก็ไม่ทราบได้ ทำไม่ถูกใจ เอะอะก็กล่าวหาว่าบุคลากรไปเที่ยว
“ก่อความเสียหาย” คงไม่ทันนึกว่า
“การทำงานหรือหาประโยชน์จากการจับผิดคนอื่นง่ายกว่า การส่องกระจกดูตนเอง”
ที่ผ่านมาวิธีการทำงานโดยใช้วิธีจับ ผิดและหาข้อบกพร่องของคนอื่นนั้นได้ผลเสมอ
ๆ
ในการเคลื่อนไหว เพื่อสนับสนุนแนวคิดสุดโต่งแบบนี้มาตลอดยกเว้นแต่กับร่างกม.นี้
สิ่ง ที่เกิดขึ้นกับร่างกฎหมายฉบับนี้คงทำให้เก้าอี้ประจำตำแหน่งสะท้านไปไม่น้อ ย
อยากให้เปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในความคิดของตนเอง
และคนที่เห็นต่างมิใช่ศัตรู
การ ถกเถียงโต้แย้งในห้องประชุมเป็นเพียงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
เมื่อ ออกนอกห้องประชุม ทุกคนคือเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมกรรมร่วมโลก
ต่างคน ต่างเกิดมาใช้กรรมของตน
ต้องตั้งสติและเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าบุคลากร การแพทย์ก็เป็นประชาชนคนไทยเต็มร้อ ยไม่น้อยกว่ากลุ่มที่อ้างตนว่าเป็นภาคประชาชน
อย่าจดลิขสิทธิ์คำว่า “ภาคประชาชน” หรือ “ผู้บริโภค”
ไว้เฉพาะเพื่อนพ้องที่อยู่ใต้อาณัติ เท่านั้น
เขาเหล่านี้ก็เป็นประชาชน
จะต่างกันก็ตรงที่เขา เหล่านี้ไม่เคยรับรู้หรือเข้าเป็นสมาชิกขององค์กรเครือข่า ยที่ตั้งชื่อให้ดูศักดิ์สิทธิ์
ไม่เคยยกมือโหวตจัดสรรตำแหน่งให้
เขา เหล่านั้นก็มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นประชาชนเช่นเดียวกัน
หลายคนทำ งานแบบปิดทองหลังพระ
แต่ทุกวันนี้คนปิดทองหลังพระเหล่านี้
ไม่ เคยคาดหวังแปรเปลี่ยนผลการกระทำของตนเองเป็นผลประโยชน์ทางการเมืองแต่อย่างใ ด
ไม่เคยต้องการไปเป็น สส. หรือสว. ด้วยการทับถมจับผิดให้ร้ายผู้อื่น
กลัวแต่ว่าเมื่อไรที่เกิดความพลาด พลั้งหรือเข้าใจผิดในการสื่อความหมาย
จะทำให้ตนเองถูกใส่ร้ายวาดภาพ ให้เป็นฆาตกรโรคจิตในชุดขาวอย่างที่เสกสรรปั้นแต่ งในfacebook
คน ที่ผลักดันกม.นี้เริ่มแรกก็กล่าวอ้างว่า
เห็นอกเห็นใจบุคลากรสาธารณ สุขจึงผลักดันกม.นี้มาให้
ต่อเมื่อบุคลากรปฏิเสธก็เปลี่ยนแนวทาง เพื่อหาเสียงสนันสนุนใหม่ว่า
หากใครไม่เห็นด้วยกับร่างกม.นี้แสดงว่า ใจดำไม่เห็นใจผู้ป่วยเหมือนกลุ่มผู้ผลัก ดัน
พยายามผลักผู้คัดค้าน ให้กลายเป็นศัตรูกับคนไทยทั้งประเทศ
ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านี้ที่โดนกล่าวหาว่า “ใจดำ ไม่มีหัวใจมนุษย์
ไม่มีจิต อาสา” สุดแท้จะสรรหาคำพูดสะเทือนใจมาบรรยาย
คือคนที่กำลังทำหน้าที่ ช่วยชีวิตคนไทยรวมทั้งญาติ พี่น้อง
เพื่อนฝูงของกลุ่มผู้ผลักดันเช่น กัน
แม้แต่เวลาที่ผู้อ่านกำลังอ่านบทความนี้อยู่
เขาเหล่า นั้นก็กำลังก้มหน้าก้มตาช่วยชีวิตผู้ป่วยอยู่ไม่ว่าจะในสถานพยาบาลแห่ง ใดก็ตาม
ไม่มีเวลามาโต้เถียงด้วย
ซึ่งอานิสงส์ผลบุญนี้น่าจะ ส่งต่อไปถึงญาติพี่น้องของผู้ป่วยเหล่านั้นอีกหลายล้ านคน
ผลบุญ เหล่านี้น่าจะลบล้างคำว่าใจดำได้บ้างไม่มากก็น้อย
การกล่าว อ้างว่าบุคลากรเกือบทั้งหมดเห็นด้วยกับร่างกม.นี้และเห็นว่ากม.นี้คือย าวิเศษที่จะช่วยลดความพิการความตายของผู้ป่วยได้
การพิสูจน์เรื่อง นี้ทำไม่ยากเลย
แค่คุณสารีเดินเข้าร่วมรายการสดเวทีประชาพิจารณ์ของ บุคลากรสาธารณสุข
และตอบคำถามทุกรายมาตราอย่างเปิดเผยไม่เบี่ยง ประเด็น ไม่นอกเรื่อง
ก็จะได้คำตอบโดนใจเป็นแน่นอน
ประเด็น กล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในกฎหมายนี้มาแต่ต้นแล้วทำไมจึงมาคัดค้านเอาตอนนี้
คุณ สารีก็ใช้เทคนิคเดิม ๆ คือ พูดความจริงแต่เสี้ยวที่ให้ประโยชน์กับตน
การ มีส่วนร่วมนั้นหมายความได้ทั้ง ให้ความเห็น วิจารณ์ สนับสนุน หรือคัดค้าน
หลาย ประเด็นก็เห็นด้วยกับกฎหมายนี้โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องเยียวยาผู้ที่ได้รับผล กระทบจากระบบสาธารณสุขที่เต็มไปด้วยความไม่พร้อม
หนักกว่านั้นคือยัง คัดค้านว่าต้องนำคนผิดที่กระทำไม่ดีต่อผู้ป่วยมาลงโทษ
มิใช่ไม่ พิสูจน์อะไรเลย ปล่อยให้ไปกระทำผิดเรื่อย ๆ
การมีส่วนร่วมยังรวมถึง การคัดค้านมาตราที่เห็นว่าจะส่งผลเสียหายต่อชีวิตผู้ป่ว ย
ดังกล่าว
แต่ สุดท้ายก็ไม่อาจทัดทานกำลังภายในของคุณสารีที่ไปล็อบบี้สารพัดนักการเมืองภา ยใต้นามมูลนิธิ
ภายใต้คำว่า “ภาคประชาชน” “ผู้บริโภค”
รวม ทั้งการสรุปกฎหมายภายใต้การทุบโต๊ะของกฤษฎีกาในขณะนั้น
ความจริง กฤษฎีกาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับคุณสารีในทุกเรื่องโดยเฉพาะวันที่ประธานต้อ งสั่งให้เงียบเพราะคุณสารียืนยันว่าให้ตั้งกองทุนจ่ายเงินมาง่าย
ๆ มาก ๆ เร็ว ๆ ไม่ต้องมีการพูดคุยไมต้องประนีประนอมไม่ต้องไกล่เกลี่ย
คุณ สารียังจำได้หรือไม่ วันนั้นทำเอาบรรยากาศมืดทะมึนทันที
ใน ทางศาสนาพุทธเรื่องบางเรื่องเป็น “ปัจจัตตัง”
ดังนั้นการพิสูจน์ว่า กม.นี้ดีหนักหนาเป็นยาวิเศษหรือไม่
การพิสูจน์ความเห็นอกเห็นใจจริง ต่อบุคลากรทำได้ง่ายมาก
เพียงคุณสารีถอดหัวโขนตำแหน่งในมูลนิธิและ สารพัดองค์กรที่นั่งอยู่และกลับมาสวม ชุดพยาบาลอันศักดิ์สิทธิ์
เพื่อ มาช่วยเพื่อนพ้องพยาบาลที่เป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพของคุณสารี(?)ซึ่งตรากตรำ ทำงานในโรงพยาบาลทั่วประเทศโดยไม่เคยได้โอกาสออกสื่อหรือมีชื่อเสียงแบบที่ คุณส ารีมี
ทั้ง ๆ ที่เพื่อน ๆ คุณสารีสร้างข่าวดีอยู่ตลอด ๓๖๕
วันโดยการช่วยชีวิตคนนับหมื่นนับแสนนับล้าน แต่ไม่มีโอกาสได้เป็นข่าวดัง ๆ ดี ๆ
(ยกเว้นข่าวร้าย ๆ
ที่จะ ได้กลิ่นเร็วเป็นพิเศษและพร้อมใจกันขยายความให้เหมือนไฟลามทุ่งโดยปราศจาก การตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนำเสนอ)
เชื่อแน่ว่ามีหลายแห่งยินดีต้อน รับเพราะเสียดายในความรู้พยาบาลอันสามารถของคุณ สารีอย่างมาก
ลอง ดูสักสองสามปีในห้องฉุกเฉินที่ไหนก็ได้
แล้วค่อยตอบตนเองว่าร่างก ม.นี้ดีจริงหรือ แก้ปัญหาที่กล่าวอ้างมาได้จริงหรือไม่
หากดีจริงก็ อยู่เป็นพยาบาลต่อเพื่อช่วยเหลือ “ผู้เสียหาย”
ที่คุณสารีรยกมาใช้ กล่าวอ้างเสมอ ๆ
น่าจะได้บุญมากกว่าการทำงานในสายอื่นที่คุณสารี เลือกเดินอยู่ และอย่าลืมผลักดัน
“ร่างพรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการ กระทำขององค์กร....”
โดยให้มีเนื้อหาแบบเดียวกับร่างกม.นี้ เช่น
กำหนดนิยามให้ผลที่เกิดจากการเคลื่อนไหวหรือการกระทำของ..... เป็น
“ความเสียหายโดยไม่ต้องพิสูจน์ผิดถูก”
ตั้งกองทุนที่ อนุญาตให้นำเงินหลักหมื่นล้านบาทต่อปีไปบริหารกันเอง ๑๐%
เงินเหลือ ซึ่งเป็นภาษีประชาชนไม่ต้องส่งคืนคลัง
แต่ให้กรรมการกอดเก็บไว้กับ ตัวเพื่อยกยอดไปใช้บริหารกันต่อในปีถัดไปทุกปี
ใครอยากได้ เงินก็อ้างว่า
“เกิดความเสียหาย”เพื่อจะได้ไม่ต้องพิสูจน์ผิดถูกแล้ว มีโอกาสได้เงินหลักล้านโด ยไม่คำนึงว่านี่คือเงินภาษีของคนส่วนน้อยของประเทศที่เขาจ่ายมาให้รัฐเพื่อ พัฒน าประเทศ
พัฒนาระบบสาธารณสุข ซื้อเครื่องมือดี ๆ ยามีคุณภาพ มารักษาเขาและญาติ
มิใช่มาไล่แจกแบบquick cash
กรรมการที่ ตัดสินให้เงินก็ไม่ต้องมีความรู้ในเรื่องที่ตัดสินเพราะใช้อารมณ์ควา มเห็นอกเห็นใจเป็นหลัก
หากจ่ายเงินล่าช้าให้ปรับ ๒๔%ต่อปี
พร้อม ยึดทรัพย์องค์กรหรือบุคคลได้ จ่ายสินไหมแล้วฟ้องแพ่งต่อได้
ฟ้อง แล้วไม่มีจ่ายก็ยึดทรัพย์ได้โดยไม่ต้องฟ้องศาลล้มละลายกลาง
อายุความ ฟ้องแพ่งก็ขยายแบบสมานฉันท์ไม่มีกำหนดอายุความทางอ้อมโดยใช้คำว่า
“ทันที ที่รู้ตัวว่าเสียหาย”ประนีประนอมทำสัญญาเสร็จก็เปลี่ยนใจฟ้องใหม่ได้เรื่ อย
ๆ ฟ้องแพ่งไม่พอก็ฟ้องอาญาโทษฐานพยายามช่วยผู้อื่นแล้วล้มเหลว(ประมาท)ต่อ ได้
ฟ้องแพ่งแล้วแพ้ในชั้นศาลก็กลับมาขอรับเงินจากกองทุนนี้ได้อีก
หาก ไม่อยากโดนโทษอาญาก็รีบจ่ายเงินฟ้องแพ่ง(โดยที่ผู้จ่ายก็ไม่รู้ว่าตนทำผิดหร ือไม่
เพราะไม่พิสูจน์ผิดถูก)ก่อนที่ศาลจะพิพากษาอาญา
(ซึ่ง ไม่ต่างอะไรจากการเรียกเก็บเงินค่าคุ้มครองของพวกมาเฟีย)
รับเงินไป แล้วเป็นสิบปีก็หวนมารับใหม่ได้อีกในมูลเหตุเดิมโดยอ้างว่าเพิ่งรู้ว่ าเกิดความเสียหาย
(และหากพิสูจน์ไม่ได้เพราะมันนานมากแล้ว
ก็ ยกประโยชน์ว่าเป็นผู้เสียหายและให้จ่ายเงินได้อีก)
กรรมการ สรรหาชั่วคราวก็ล็อกสเปคโดยตั้งคนจากองค์กรเฉพาะกลุ่มถึง ๖ ใน ๑๑
มา สรรหากรรมการถาวร
อ่านไปอ่านมายิ่งสัปสนว่ากม.นี้กำลังจะออกในประเทศ ประชาธิปไตยหรือประเทศในโซนแ ดงกันแน่
ถึงตอนนี้คุณสารีคง รู้แล้วว่าร่างกม.นี้ก็ไม่ต่างกับร่างกม.ที่ส่งเสริมค่านิยม เงินเป็นใหญ่และสนับสนุนให้อกตัญญูต่อบุคลากรที่พยายามช่วยชีวิตคนทางอ้อม นั่นเ อง
ยิ่งหากออกเพราะการผลักดันของพรรคการเมืองใด
พรรค การเมืองนั้นคงได้ตราบาปไปชั่วลูกชั่วหลานของพรรคนั้น
อันเป็นแรงส่ง จากผลบาปของการส่งเสริมค่านิยมอกตัญญูและการทำร้ายชีวิตคนทางอ้อม
คุณ สารีเน้นย้ำให้สภาผู้แทนราษฎรตัดสินใจเดินหน้าเกี่ยวกับกฎหมาย
ปาณา ติปาตาและอกตัญญู ฉบับนี้(เพราะนายกรัฐมนตรีบอกใบ้ให้ทราบ) ที่ผ่านมา สส.
สว. นักกฎหมาย ทนายความ หรืออาจารย์ทางกฎหมายบางท่าน
ที่ยอมสละเวลามา นั่งอ่านกฎหมายก่อนให้ความเห็น(มิใช่ให้ความเห็นก่อนอ่าน)
อ่านแบบ ทั้งฉบับ และ หลาย ๆ รอบ อ่านจนสามารถผนวกมาตราทุกมาตราเข้าด้วยกัน
จะ เกิดดวงตาเห็นธรรม ว่าขืนผลักดันกม.ที่มีหน้าตาแบบนี้ต่อไป
คงต้องไป ลงนรกอเวจีฐาน “ปาณาติปาตา เวระมณี” แน่นอน
เพราะร่างก ม.ฉบับนี้เป็นร่างที่บังคับให้ บุคลากรสาธารณสุขทั้งประเทศ
ทอดทิ้ง ผู้ป่วย
เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดก่อความเสียหายตามความเข้าใจแบบ มิจฉาทิฐิของผู้ผลั กดัน
ร่างกม.นี้จะทำให้เกิดปรากฏการณ์
ปล่อย ให้ผู้ป่วยตายไปต่อหน้าต่อตาหรือผลักให้ผู้ป่วยไปตายบนรถส่งต่อหรือโรงพยา บาลอื่นจะได้ไม่เกิดความเสียหายที่ตนเองเป็นมีสิทธิถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ ก่อ
อย่าลืมว่า“ผู้ไม่เคยผิดพลาดคือผู้ไม่เคยทำอะไรเลย”
คน ป่วยจำนวนมากจะตายด้วยกฎหมายนี้เพราะบุคลากรกลัวว่า
ตนจะเป็นผู้ก่อ การร้ายที่เที่ยวไปก่อความเสียหายตามนัยของกฎหมายนี้
แถมยังมีศาล เตี้ยที่เต็มไปด้วยบุคคลที่ทำงานด้วยปากในการรักษาผู้ป่วย
พร้อมกับ บุคคลที่ในชีวิตเคยเป็นแต่ผู้ป่วยแต่ไม่เคยรักษาคน
มานั่งลับมีดรอ เชือดโดยอาศัยเสียงข้างมากลากไป ไม่สนใจผิดถูก ไม่ต้องมีคำว่า
“มาตรฐาน ทางการแพทย์”
อย่าลืมว่า การผลักดันกม.นี้ยิ่งกว่าการผิดศีลข้อ ๑
เพราะเพียงแค่ปีแรกที่ กม.นี้มีผลบังคับใช้จะมีหลายแสนชีวิตที่ตายไปจากมิจฉาทิฐ ิของการผลักดันกม.นี้แบบหน้ามืดตามัว
โดยอาศัยเงินเป็นตัวล่อ
บาป กรรมจะไปตกอยู่ที่ผู้ผลักดันและผู้ยกมือสนับสนุนร่างกม.นี้
หนักบ้าง น้อยบ้าง ก็แล้วแต่ว่าจะรู้เท่าถึงการณ์ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ถึง ตอนนี้บรรดาสส. สว.ที่ต้องยกมือโหวต
เพื่อให้กม.นี้เข้าสภาไปแก้กัน ต่อ(แต่อย่าหวังว่าจะแก้เนื้อหาอันตรายทั้งหมดนั ้นได้
เพราะการแก้ ทั้งหมดเพื่อมิให้ไปตกอยู่ในอบายภูมิคือการคว่ำกฎหมายนี้นี่เอง)
หาก ได้อ่านแล้วก็ต้องเรียกว่ารู้เท่าถึงการณ์
และรอดูว่าเขาเหล่านั้น พร้อมใจจะไปอยู่ในอบายภูมิตามคำเชิญชวนหรือไม่
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แล้ว ความในใจของ ปชช. ผู้เป็นเจ้าของสังคมนี้ คนอื่น ๆ ละ ครับ
หลาย ครั้งการต่อสู้ระหว่างผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านกลายเป็นสงครามหลังสงคราม ไม่จบสิ้น กลายเป็นบาดแผลของผู้ต่อสู้
ด้วย การใช้คำพูดแรง ๆ การฟ้องร้องแจ้งความที่ไม่สมเหตุสมผล ทำเหมือนพวกนักการเมือง
ตกลง ชาวบ้านเขาไม่รู้จริง ๆ ว่า ทำไมต้องสนับสนุน ทำไมหมอถึงไม่เอาด้วย
ส่วน นักการเมืองคงตอบว่าไม่รู้ไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่ บรรจุ พรบ. เข้าสภา ฯ
แล้วจะ มีกระบวนการอะไรเพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันหรือไม่
หรือ จะปล่อยให้เกิดสงครามระหว่างหมอกับคนไข้ไปเรื่อย ๆ
เหมือน ในลิเบียที่เอาฝ่ายสนับสนุนกับฝ่ายต่อต้านมาชนกันเอง
ถ้า อย่างนี้ไม่ต้องมี สส. ก็ได้
ไม่มีความเห็น