ถ้าท่านเป็นแพทย์เวร ถูกปลุกตอนตีสอง เพื่อมาเย็บแผลคนเมา ระหว่างเย็บแผล ท่านโดนถ่มน้ำลายใส่หน้า ได้ยินคำหยาบคาย และต้องคอยระมัดระวังเพราะคนเมาดิ้นตลอดเวลาจนหาคนช่วยจับให้นิ่งๆจะได้เย็บแผล ห้ามเลือดได้สำเร็จ
รายแรกๆ ท่านอาจทนได้ แต่เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นแทบทุกวัน แทบทุกครั้งที่อยู่เวร ท่านจะทนได้นานเพียงใด
มีแพทย์รุ่นน้องท่านหนึ่งสารภาพในจดหมายเหตุว่า ทนไม่ได้และตอบโต้คนไข้เพื่อหวังให้เขารู้ตัวและสงบลงบ้าง ด้วยการ ปล่อยให้นอนตากยุงบ้าง เคาะกะโหลกพอประมาณด้วยคีมห้ามเลือดบ้าง หยิกบ้าง
แต่แล้วเมื่อเขาพบกับคนเมารายหนึ่งที่ ตื่นขึ้นและสร่างเมา ยกมือไหว้แพทย์ท่านนี้ พร้อมขอกล่าวโทษ ขณะแพทย์ไปเยี่ยมไข้ตอนเช้าวันถัดมา ทำให้ได้นั่งคุยกัน จนเข้าใจว่า เบื้องหลังการดื่มจนเมาของเขา คือ การถูกกดดันด้วยขาดรายได้ แถมภรรยายังทอดทิ้งตนและลูกชายคนเดียวไปกระทันหัน
การดื่มเหล้าทำให้ขาดสติ จนเกิดอุบัติเหตุระหว่างเดินทางด้วยมอเตอร์ไซด์กลับบ้าน เลยต้องมารพ.แทนจะถึงบ้าน
สำนึกแห่งมนุษยธรรมในใจเบื้องลึกของแพทย์ท่านนี้จึงระเบิดออกมา เขากลับไปบ้านคนไข้เพื่อพาลูกชายคนเดียวมาเฝ้าบิดาจนครบกำหนดกลับบ้าน แล้วยังพาสองพ่อลูกไปส่งบ้านด้วยรถส่วนตัว
ครับ ท่านผู้อ่านคงเห็น ความเป็น"คน" ที่แสนธรรมดาของแพทย์ คนที่ทำผิดพลาดได้ คนที่สำนึกได้ และแก้ไขได้ ที่น่าชื่นชมสำหรับแพทย์รุ่นน้องท่านนี้คือ ท่านเป็นแบบอย่างของการปลูกฝังวัฒนธรรม "ไม่ปิดบังความผิด" "ไม่หมกเม็ด"
ด้วยวัฒนธรรมเช่นนี้ การเรียนรู้ของสังคม หรือหมู่คณะจะยั่งยืน มรดกทางความรู้จะตกทอดสืบไปถึงคนรุ่นหลัง
แม้ไม่มีสถิติว่า แพทย์แสนธรรมดา เหล่านี้มีมากน้อยเพียงใด ผมอนุมานจากหลักคิดว่า สังคมใดๆที่ยังดำรงอยู่ได้ย่อมอาศัยคนหมู่มากที่ยังเป็นคนดีช่วยค้ำจุน ฉันใดก็ฉันนั้น แพทย์ส่วนใหญ่ก็เป็นแพทย์แสนธรรมดานี่แหละครับ เช่นเดียวกับวงการวิชาชีพอื่นๆที่คนดียังเป็นคนส่วนใหญ่
การอนุมานเช่นนี้อาจสวนทางกับข่าวที่ปรากฎตามสื่อ ซึ่งอาจเหนี่ยวนำให้สังคมเชื่อว่า เรื่องราวที่ปรากฎตามสื่อคือความจริงแท้ ซึ่งหากน่าหดหู่ ก็นำพาอารมณ์หดหู่ให้แพร่ระบาด หากน่าลิงโลด ก็ให้ผลต่ออารมณ์ในทิศทางเดียวกัน
ไม่ว่าการอนุมานของผมเกี่ยวกับแพทย์จะใกล้ความจริงเพียงใด ประเด็นที่สำคัญมากกว่า อาจจะได้แก่ การมองหาทางออกร่วมกันเกี่ยวกับบริการทางการแพทย์ ที่ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ โดยเสมอภาค เปี่ยมคุณภาพ และคุ้มค่าสำหรับการใช้ทรัพยากรอันจำกัด
ถ้าสื่อสังคมสมัยใหม่ อย่าง ทวิตเตอร์ ยูทิวป เฟสบุ๊ค ช่วยให้ระบบกดขี่ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางกำลังทะยอยล่มสลาย ทำอย่างไร สื่อสังคมสมัยใหม่จะช่วยให้เกิดการมองหาทางออกร่วมกันในเรื่องต่างๆรวมทั้งบริการทางการแพทย์
การเขียนถ่ายทอดเรื่องราวที่ประสบในทางสร้างสรร มุ่งชี้ทางออกมากกว่าการตำหนิ วิพากษ์ ระบายความโกรธเคือง น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งใช่หรือไม่ ไม่ว่าท่านจะอยู่ในฐานะคนไข้ ญาติ แพทย์ พยาบาล ผู้บริหาร ฯลฯ
ความเห็น บทเรียนของท่านย่อมเปรียบดัง ดอกไม้ หรือ เสียงดนตรี ที่หากประชันโฉม ประชันเสียง ก็จะส่งกลิ่นหอม เปล่งเสียงไพเราะเสนาะโสตได้เช่นกัน
ปล. รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวของแพทย์ท่านนี้ หาอ่านได้จากวารสารคลินิก ฉบับ มีค 2554...บันทึกเวชกรรม
ไม่มีความเห็น