การถ่ายทอดความรู้เรื่องเพศที่สอดคล้องกับพัฒนาการของร่างกาย วุฒิภาวะ และวิถีชีวิตในแต่ละช่วงอายุ
-
วัยเด็ก ช่วงอายุระหว่าง 2-12 ปี
ในวัยเด็กอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ช่วงอายุใหญ่ ๆ กล่าวคือ ช่วงแรกเมื่อเด็กอายุระหว่าง 2-5ปีหรือเด็กก่อนเข้าวัยเรียน และช่วงที่สองเมื่อเด็กอายุระหว่าง 6-12ปีเมื่อเด็กเริ่มเข้าโรงเรียน
ในช่วงอายุแรก เด็กจะเริ่มเล่นอวัยวะของตนเอง เริ่มสังเกตความแตกต่างของอวัยวะในร่างกายที่ไม่เหมือนกันระหว่างหญิงและชาย เริ่มมีความอยากรู้อยากเห็นอวัยวะของเพื่อนเพศตรงข้าม มีความเข้าใจว่าอวัยวะของตนเป็นส่วนที่ควรปกปิดและเป็นของส่วนตัว เด็กจะเรียกชื่ออวัยวะของตนเป็น เริ่มเรียนรู้และเลียนแบบบทบาทพฤติกรรมของเพศตนในการเล่นและการใช้ชีวิตประจำวัน ในวัยนี้เองที่คุณพ่อคุณแม่ควรจะสอนลูกถึงหน้าที่และการดูแลการทำความสะอาดอวัยวะแต่ละในเบี้องต้น (basic personal hygiene) พ่อแม่ควรเปิดโอกาสที่จะตอบข้อสงสัยของเด็กวัยนี้เกี่ยวกับอวัยวะ โดยเฉพาะในเรื่องอวัยวะเพศ และสาเหตุของการมีอวัยวะที่แตกต่างของเพศตรงข้ามด้วย รวมไปถึงการสอนว่าอวัยวะเพศมิใช่เป็นเรื่องน่าอับอายที่ต้องปิดบังไว้ หากแต่เป็นเรื่องธรรมชาติ ในการเข้าสังคมที่ควรแต่งกายให้มิดชิด พ่อแม่ควรเริ่มสอนสิทธิของเด็กโดยการสอนเด็กให้รู้ว่า ตัวเขาเองมีสิทธิที่จะปฏิเสธ และไม่ควรยอมให้บุคคลอื่นจับต้องอวัยวะเพศของตนหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเขาโดยที่เขาไม่ต้องการ ในสังคมอเมริกันจะกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า the right to say “No” ในช่วงนี้เองเป็นช่วงที่พ่อแม่จะเปิดโอกาสให้ลูกของตนเกิดความไว้วางใจและความเคยชินไม่เขินอายในการถามข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องอวัยวะเพศกับตน ลักษณะการเปิดโอกาสพูดคุยกันแบบนี้จะเป็นแนวทางในการปูพื้นฐานความใกล้ชิดระหว่างเด็กและพ่อแม่ในการซักถามเกี่ยวกับเรื่องเพศต่อไป
ช่วงที่สอง เมื่อเด็กอายุ 6-12ปี คือ เมื่อเด็กเริ่มเข้าโรงเรียนแล้ว เด็กจะเริ่มเรียนรู้คำศัพท์อย่างเป็นทางการของการเรียกชื่ออวัยวะแต่ละอวัยวะและเรียนรู้คำศัพท์ที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ ในวัยนี้คุณพ่อ คุณแม่สามารถเน้นวิธีการดูแลทำความสะอาดอวัยวะเพศของตนได้ลึกซึ้งขึ้น ตัวเด็กเองจะเริ่มพอนึกออกว่าเขาเกิดมาจากไหน สนใจการสืบพันธุ์หรือการเกิดของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ รอบตัวเขา เช่น การเกิดของสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน เริ่มรู้ว่าแต่ละอวัยวะในร่างกายมีหน้าที่อย่างไร เริ่มรู้ถึงความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะตน และความแตกต่างของอวัยวะตนกับเพื่อนเพศเดียวกับตนเอง เด็กเริ่มเห็นพัฒนาการทางเพศที่แตกต่างของเพศตนกับเพศตรงข้าม และความรวดเร็วของพัฒนาการทางร่างกายของเพื่อนเด็กหญิงและเด็กชายที่แตกต่างกัน (changes at puberty according to different sex rate of development) เด็กอาจเริ่มลอกเลียนแบบการยั่วยวนทางเพศ (imitating seduction) เช่นการจูบ การพูดจาเกี้ยวพากันหรือดึงดูดความสนใจของเพศตรงข้าม (flirt) อีกทั้งในเด็กชายในช่วงอายุ 11-12 ปีอาจเริ่มมีการเรียนรู้เรื่องวิธีการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง (masturbation)จากเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชายเด็กจะเริ่มเรียนรู้คำแสลงที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ การเล่าหรือรับฟังเรื่องสองแง่สองง่ามในหมู่เพื่อนๆ
เนื่องจากฮอร์โมนเพศ และอวัยวะเพศเริ่มมีการพัฒนาไปสู่วัยเจริญพันธ์ ผู้ใหญ่ควรที่จะให้ความรู้ในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์และผลเสียที่จะเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเยาว์แก่บุตรของตน
อีกทั้งช่วงอายุนี้ เป็นช่วงที่ดีในการเปิดโอกาสให้เด็กได้ซักถามข้อข้องใจในวิถีชีวิตประจำวันของเขาโดยผู้ปกครองอาจเป็นคนถามเขาเองก็ได้ เพื่อที่จะถือโอกาสให้ความรู้ในสิ่งที่ถูกต้องแก่บุตรของตน เช่น เปิดโอกาสให้ลูกได้ถามว่าสิ่งที่เขาได้ยินเพื่อนที่โรงเรียนพูดเกี่ยวกับเรื่องเพศนั้นเป็นจริงหรือไม่ หรือ ในกรณีที่พ่อแม่ลูกนั่งดูโทรทัศน์กัน ก็ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ถามหรือเล่าว่าเขารู้สึกอย่างไรต่อภาพที่เห็น เช่น การจูบกันของนางเอกกับพระเอก หรือวิจารณ์ความสัมพันธ์ของพระเอกและนางเอกในละคร เป็นต้น ตอนนี้เองเป็นการเปิดโอกาสให้คุณพ่อคุณแม่ได้สอนถึงการมีสัมพันธภาพกับเพื่อนเพศตรงข้ามที่นำมาซึ่งการให้คุณค่า ให้เกียรติแก่ตัวเองและเพศตรงข้าม การวางตัวที่เหมาะสม ความคิดที่แตกต่างของหญิงและชายในเรื่องความรักหรือการมีเพศสัมพันธ์ เพราะช่วงอายุนี้เองที่เด็กจะเริ่มการสะสม หล่อหลอมทัศนะคติและค่านิยมเกี่ยวกับเรื่องเพศ ตลอดจนความรับผิดชอบเมื่อมีเพศสัมพันธ์
นอกจากนี้ในช่วงอายุนี้ เด็กเริ่มซึมซับข้อความที่ได้รับจากสื่อในเรื่องเพศ รวมไปถึงเรื่องโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และเขาจะเริ่มรับรู้ชื่อโรคที่สังคมสร้างภาพว่าร้ายแรงหรือน่ารังเกียจ การรับรู้ของเด็กในช่วงวัยนี้เด็กไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่รับมา อาทิ ข้อเท็จจริง (facts) ออกจากเรื่องที่ไม่เป็นจริง(fiction)ได้ ดังนั้นเด็กอาจเกิดความกังวลว่าจะติดโรคจากผู้อื่นได้ โดยเฉพาะโรคเอดส์ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการติดต่อของโรค เช่น โรคเอดส์ การสร้างความมั่นใจให้กับเด็กในการอยู่ร่วมกับคนที่ติดเอดส์โดยไม่ต้องหวาดกลัว การอธิบายในเรื่องนี้ควรเป็นการเล่าเรื่องอย่างเรียบง่ายไม่ใช้คำศัพท์ที่เป็นทางการหรือเป็นคำศัพท์ทางแพทย์มากเกินไป พ่อแม่ควรแสวงหาความรู้ว่าที่โรงเรียน บุตรของตนได้รับการศึกษาเรื่องเพศในเรื่องใดบ้างในบทเรียน ตลอดจนวิธีการเรียนการสอนของครูเพื่อที่จะได้ให้ข้อมูลเสริมความรู้ของเด็ก การสอนที่ไม่ขัดแย้งกับข้อมูลที่เด็กเรียนหรือได้รับมา เพื่อเป็นการไม่สร้างความสับสนกับตัวเด็ก และเพื่อที่คุณพ่อคุณแม่จะได้รับรู้ถึงพัฒนาการในองค์ความรู้เรื่องเพศที่เด็กมี ในทางกลับกัน คุณพ่อคุณแม่เองก็ควรที่จะพูดคุยกับครูเรื่องที่เด็กซักถาม เล่าให้ฟังถึงแนวทาง การตอบของตนเพื่อที่ครูจะได้รับข้อมูลและนำไปขยายข้อข้องใจให้ชัดเจนในบทเรียนภายหลังกับเด็ก
ในระยะนี้เด็กได้ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สังคมชาวอเมริกันจะให้ความสำคัญที่สุดในการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศ ในทางตรงข้ามช่วงอายุนี้เอง วัยรุ่นมักจะหลีกหนีการถามปัญหาเรื่องเพศหรือการซักถามคำถามที่เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ปกครอง อย่างไรก็ตามผู้ปกครองชาวอเมริกันส่วนมากมักสังเกตพฤติกรรมของบุตรตนและถือเป็นความรับผิดชอบในส่วนหนึ่งที่จะสอนถึงวิธีการคุมกำเนิดและการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย (how to have safe sex) ภาระในการถ่ายทอดความรู้เรื่องเพศศึกษาจะไปเน้นหนักที่ระบบการศึกษาของโรงเรียน ที่โรงเรียนจะเน้นย้ำบทเรียนที่ให้ภาพพจน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับ
1) เรื่องการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและพัฒนาการของร่างกาย (changes during puberty) นอกจากจะกล่าวถึงพัฒนาการทางกายภาพที่แตกต่างกันหญิงและชายแล้ว โรงเรียนยังให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ในเรื่องดังต่อไปนี้
1.1 การมีความรู้สึกสนใจเพศตรงข้าม (attraction to the opposite sex)
1.2 ความรู้สึกกังวลกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตน และความรู้สึกไม่มั่นใจในตนเอง (feeling of insecurity) ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกว่าตนเองน่าเกลียดเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อน ความรู้สึกไม่สบายใจและกายเมื่อต้องอยู่ใกล้ชิดกับเพื่อนต่างเพศ ความรู้สึกของการเข้ากับกลุ่มเพื่อนไม่ได้ หรือแม้แต่ความสับสนที่เกิดขึ้นในการเลือกอัตลักษณ์ (self identity) หรือเอกลักษณ์ (uniqueness) ของตน
1.3 ความรู้สึกที่เกิดจากการกระตุ้นทางเพศ (sexual impulses) ความรู้สึกที่เกิดจากการกระตุ้นทางเพศอันเกิดมาจากการผลิตฮอร์โมนที่มีอำนาจต่อการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของตน ซึ่งเป็นอารมณ์อีกอารมณ์หนึ่งที่เมื่อใครก็ตามเข้าสู่วัยรุ่นจะต้องประสบ การบังคับการตอบสนองตนเองจากสิ่งเร้า (controlling sexual impulses) เด็กจะได้เรียนรู้ว่าการจัดการกับอารมณ์ทางเพศของตนว่าจะมีทางออกอย่างไรบ้าง ตนเองมีระดับของความรู้สึกทางเพศที่ปกติหรือมากผิดปกติ รวมทั้งทางออกและแนวทางการปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับเรื่องนี้
2) เรื่องเพศและการสืบพันธุ์ (sex and reproduction) ซึ่งเป็นการสอนที่เน้นลักษณะกายภาพและหน้าที่ของอวัยวะที่มีบทบาทต่อการสืบพันธุ์ของมนุษย์ ควบคู่ไปกับบทเรียนที่เน้นการสอนเรื่องเพศวิถี (sexuality)
3) เรื่องเพศวิถี (sexuality) การเรียนเรื่องเพศวิถีจะประกอบด้วยการเรียนรู้ดังนี้
3.1 เพศสภาวะ (gender) กล่าวคือลักษณะเพศตามสถานภาพทางชีววิทยาและสังคมวิทยา วัยรุ่นจะได้เรียนเกี่ยวกับการที่เพศสภาวะของตนที่เชื่อมโยงกับการเกิดมาเป็นเพศชายหรือเพศหญิง การวางตัวที่สอดคล้องกับเพศของตน บทบาทของเพศหญิงและเพศชายที่สังคมให้คาดหวัง การแต่งกายและพฤติกรรมมารยาทของเพศตนในการเข้าสังคม เป็นต้น
3.2 การบ่งบอกเพศสถานะของตน (sex orientation) ในบทเรียนนี้ วัยรุ่นจะเรียนรู้เกี่ยวกับความแตกต่างของกลุ่มคนสามกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มคนที่มีความต้องการทางเพศกับเพศตรงข้าม (heterosexual) กลุ่มคนที่มีความต้องการทางเพศเกิดความเร้าอารมณ์ทางเพศได้กับทั้งเพศหญิงและเพศชาย (bisexual) และกลุ่มคนรักร่วมเพศที่มีความต้องการทางเพศกับเพศเดียวกัน (homosexual) รวมไปถึงการเข้าใจความพึงพอใจทางเพศและปรับตัวในเรื่องเพศของตน
3.3 การมีเพศสัมพันธ์ (intercourse) บทเรียนจะเน้นการสอนว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าการตอบสนองของฮอร์โมนในร่างกายเพียงอย่างเดียว รวมถึงการบอกถึงผลกระทบทางจิตใจ (emotional effects of sex) และการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์ (consequences of sex) เช่น ความผูกพันทางอารมณ์และจิตใจที่ผู้หญิงจะมีต่อคู่เพศสัมพันธ์ (female emotional attach) รวมไปถึงเรื่องความรับผิดชอบของเพศชายและเพศหญิงเมื่อเกิดการมีบุตรโดยไม่ได้ตั้งใจ ภาระและหน้าที่ของการเลี้ยงดูลูก เป็นต้น
4) การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย (how to have safe sex) การใช้ถุงยางของเพศชายและหญิง และการต่อรองของหญิงชายเมื่อตกลงจะมีเพศสัมพันธ์ (gender-power relations and safer sex negotiation) รวมไปถึงสิทธิในการปฏิเสธเมื่อไม่ต้องการที่จะมีเพศสัมพันธ์
5) วิธีการการคุมกำเนิด (contraception) เช่น การใช้ถุงยางอนามัย (condoms) การรับประทานยาคุมกำเนิด (birth control pills) เป็นต้น
6) โรคที่ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์ (sexual transmitted diseases: STDs) เช่น โรคเอดส์ โรคหนองใน โรคเริม โรคซิฟิลิส เป็นต้น
7) การตั้งครรภ์กับการรับมือกับการตั้งครรภ์ (dealing with pregnancy) โดยที่อาจารย์ผู้สอนวิชาเพศศึกษาจะให้เด็กจดบันทึกการดูแลบุตรในรอบหนึ่งสัปดาห์ การอาศัยตุ๊กตาเด็กทารกแทนเด็กจริง ให้ติดตามตัวเด็กไปในทุก ๆ ช่วงเวลา เพื่อเป็นการสอนที่ทำให้เด็กสาวและเด็กชายวัยรุ่นเห็นภาระความรับผิดชอบของการเป็นพ่อแม่คน
จะเห็นได้ว่าในการเรียนเรื่องการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของร่างกาย (changes during puberty) เรื่องเพศและการสืบพันธ์ (sex and reproduction) และการเรียนเรื่องเรื่องเพศวิถี (sexuality) การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย (how to have safe sex) วิธีการการคุมกำเนิด (contraception) โรคที่ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์ (sexual transmitted diseases: STDs) และ การตั้งครรภ์กับการรับมือกับการตั้งครรภ์ (dealing with pregnancy)ไปพร้อม ๆ กัน ตัวบทเรียนจะเน้นการเชื่อมโยงระหว่างพัฒนาการทางกายภาพกับจิตใจ และตัวอย่างที่ยกมาสอนในบทเรียนมุ่งให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง ประสบการณ์ทางสังคม และปัญหาที่พบในกลุ่มของวัยรุ่นอีกด้วย
ในวัยนี้ เด็กวัยรุ่นอาจได้รับความกดดันจากเพื่อนให้มีเพศสัมพันธ์ (peer pressure) ในบางโรงเรียนก็จะสอดแทรกบทเรียน หรือการฉายวีดีโอให้ดูในเรื่องดังกล่าวว่าเป็นความเชื่อที่ผิด ๆ รวมถึงการสอนการจัดการกับความกดดันทางทางเพศ (handling sexual pressure) ในหัวข้อเรื่องนี้เองที่พ่อแม่ชาวอเมริกันส่วนมากมักจะเข้ามามีบทบาทในการมีส่วนร่วมในการสอนลูกของตนว่า การมีเพศสัมพันธ์ควรเกิดขึ้นเมื่อสภาพทางร่างกายและจิตใจของลูกพร้อม ไม่ใช่เกิดจากความกดดันที่อยากจะมีประสบการณ์เหมือนเพื่อน หรือความกดดันที่เกิดจากแฟน
หัวข้อที่ครอบคลุม ความลึกซึ้งของบทเรียน และความรู้ของพ่อแม่ในการถ่ายทอดเรื่องเพศจะแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของโรงเรียนว่าอยู่ในเมืองหรืออยู่ในชนบท เช่น ในโรงเรียนที่อยู่ในชนบทที่คนมีความเป็นอยู่ตามการดำรงชีวิตแบบชาวอามร์มิช การพูดถึงวิธีการคุมกำเนิด การพึ่งพาเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น การรับประทานยาคุมกำเนิด การฉีดตัวยาคุมใต้แขนของเพศหญิงอาจถูกละไว้ เช่นเดียวกัน การมีความเชื่อนับถือลัทธิทางศาสนาที่ต่างกันก็มีผล เช่น ถ้าโรงเรียนนับถือศาสนาโรมันคาทอลิคการคุมกำเนิดก็จะละไว้หรือพูดไม่ลึกซึ้ง นอกไปจากนี้ฐานะทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมทางสังคมของโรงเรียนและผู้ปกครอง ก็เป็นตัวกำหนดความแตกต่างของบทเรียน ภาษาที่ใช้สอน วิธีการสอนและการถ่ายทอดความรู้สู่เด็กวัยรุ่น อย่างไรก็ตามถึงแม้ในแต่ละโรงเรียนและตัวผู้ปกครองจะมีความแตกต่างกันในการถ่ายทอดความรู้เรื่องเพศให้กับเด็กวัยรุ่นหัวข้อที่กล่าวมาขั้นต้น ถือว่าเป็นหัวข้อตัวแทนความรู้ที่ชาวอเมริกันยอมรับ เห็นความสำคัญและมีความตื่นตัวว่าเด็กวัยรุ่นควรมีความรู้เรื่องดังกล่าว
อีกทั้งในสังคมอเมริกันขณะนี้ได้มีการคิดที่จะผนวกบทเรียนเรื่องการสร้างสัมพันธ์ภาพที่ดีกับเพื่อนต่างเพศที่มีเพศสัมพันธ์ด้วย (healthy sexual relationships) เข้าเป็นหนึ่งส่วนในบทเรียนเพศศึกษาของวัยรุ่น ทางสถาบันการศึกษายังเน้นย้ำความสำคัญของการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้ปกครองและกลุ่มวัยรุ่นอาสาสมัครเพราะเขาเล็งเห็นว่าเป็นแรงที่สำคัญในการถ่ายทอดข้อความเรื่องเพศที่จำเป็นต่อวัยรุ่นได้ หัวข้อเรื่องที่กลุ่มผู้ปกครองและอาสาสมัครวัยรุ่นมักให้ความรู้แก่เพื่อนวัยตน ได้แก่ เรื่องการเกี้ยวพาราศีและการออกเดท (courting/dating) ภัยที่อาจตามมาจากการออกเดท เช่น การข่มขืน (date rape) การปฏิบัติและการให้เกียรติกันของเพื่อนต่างเพศและคู่รัก การอยู่ร่วมกับเพื่อนที่รักเพศเดียวกัน เป็นต้น การริเริ่มใหม่นี้เองส่วนหนึ่งเกิดจากการกระตุ้นที่จะลดปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นเช่น การข่มขืน โดยเฉพาะปัญหาการหย่าร้าง ปัญหาการทำทารุณกรรมทางเพศกับกลุ่มคนที่รักร่วมเพศ (sexual violence toward homosexual peer) ปัญหาการเคารพสิทธิและการไม่ละเมิดสิทธิของเพื่อนต่างเพศเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่
www.polsci.chula.ac.th/sumonthip/journaljulanee.doc