ผ่านปีใหม่มาก็หลายวัน หากรวมวันก็กลายเป็นเดือนกว่าไปแล้ว
ณ วันนี้ เป็นวันที่ลองทบทวนและย้อนมองตนเองในห้วงเวลา ๓๘ ปี จำได้ว่ามีชีวิตวัยเด็กที่ได้เล่นอย่างเต็มเปี่ยม สนุกสนาน และมีความทรงจำที่ดีอย่างมาก เป็นความโชคดีที่ได้เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ได้เคี่ยวเข็นในการเรียน แต่ท่านทั้งสองให้เราได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ของการเกิดและการมีชีวิตอย่างเต็มที่
ทำให้ยินยันได้อย่างเต็มที่เลยว่า "พ่อแม่มีความสุข...ลูกก็จะเติมโตอย่างเปี่ยมจิตต่อการเรียนรู้"
พอเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา ก็เป็นเด็กกิจกรรม เริ่มรู้จักการเดินทางไปนั่นนี่กับเพื่อนๆ
และเมื่อเรียนระดับบัณฑิตวิทยาลัย...ก็เริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวมากกว่าการคร่ำเคร่งต่อการเรียน
ข้าพเจ้า...ย้อนมองต่อชีวิต ตนเองค่อนข้างเต็มเปี่ยมในทุกๆ จังหวะของชีวิต
และเมื่อต้นปี มาจนถึงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔ นี้ ... ชีวิตคือ การทำงานอย่างแท้ คือ ไม่มีแม้แต่ที่จะหยุดเฉยๆ ชีวิตโลดแล่นไปกับการทำงาน ได้พักก็คือ เวลานอนเท่านั้น แต่ในจิตในใจก็ยังเต็มเปี่ยมอยู่เช่นเดิมคล้ายกับการได้สนุกกับการเล่นในวัยเด็ก...
หากถามว่าข้าพเจ้าใช้เวลาไหนในการพักผ่อน ข้าพเจ้ามักจะตอบต่อผู้คนว่า เวลาที่ได้หายใจเข้าและเวลาที่ได้หายใจออก... นี่แหละคือ การพักผ่อนของข้าพเจ้า
๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔
" ....เวลาที่ได้หายใจเข้าและเวลาที่ได้หายใจออก... นี่แหละคือ การพักผ่อนของข้าพเจ้า...."
เป็นคำที่อาจารย์สื่อความหมายได้ลึกซึ้งและน่าไขปริศนา
ทำให้ผมคิดถึงคำของสตีเฟน ฮอร์คิง ที่พูดถึงเวลาจิต
"เวลาในจินตนาการคือเวลาที่เป็นจริง และสิ่งที่เราเรียกว่าเวลาที่เป็นจริงตามนาฬิกานั่น
เป็นเพียงเรื่องสมมติที่เราสร้างขึ้นมา
เพื่อใช้วัดปรากฏการณ์บนโลก
เวลาที่แท้จริงคือเวลาที่ปรากฎอยู่ภายในใจเราเท่านั้น"
ขอบคุณบันทึกแสนสั้นแต่คำหมายลึกซึ้งเหยียดยาวครับ
รู้สึกอิ่มเอมใจที่มาบันทึกนี้......