12 กุมภาพันธ์ 2554 วันเสาร์ที่หลายๆ คนมีความสุขกับการอยู่กับครอบครัว พ่อแม่ลูก กิจกรรมทั่วไปไม่มีอะไรแปรเปลี่ยน เพราะเมื่อวานเป็นวันพระ.. ได้รับนิมนตร์จากคุณโยมให้มาร่วมตั้งโรงทานแจกอาหารที่วัดธาตุิในวันรุ่งขึ้น ซึ่งถือว่ากระทันหันมากในการจัดเตรียมอุปกรณ์ แต่ก็ถือว่าบารมี จึงรับไว้ และประสานงานไปกับหลายๆ คนให้มาช่วยกัน
ช่วงสายของวัน คุณแม่ของโยมเหมียวโทรสนทนาเรื่องอาการของบุตรสาวที่ยังนอนพักรักษาอยู่ในห้องพิเศษ ซึ่งตอนนี้อาการไม่ค่อยดี ไม่ขับถ่ายมาร่วมสามอาทิตย์แล้ว เธอนอนนิ่งๆ ไม่มีเวทนาการเจ็บปวดสรรพางกายแต่อย่างใด ไม่เหมือนเมื่อวันก่อนๆ ที่จะต้องคอยพลิก ขยับเท้าที่ใหญ่มาก อันเนื่องมาจากต่อมน้ำเหลืองทำงานไม่เป็นปกติ.. ความอนาทรร้อนใจของพี่สาวและผู้เป็นแม่ย่อมถมทับทวี จึงโทรแจ้งข่าวอาการของเหมียวเป็นระยะๆ
แสงอาทิตย์ลดเริ่มจากลงจากท้องฟ้าแท็กซี่จอดที่รับส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน ในเย็นวันหยุดบรรดาผู้ป่วยบางตา.. มีแต่มาเยี่ยมผู้ป่วยหรือรอทำคลอดที่อาคารพิเศษเฉพาะ หลายคน หลายอารมรณ์ หมายบรรยากาศและความรู้สึก..ผู้คนก็ยังขวักไขว่กันไม่เลิกรา.. มีแต่เรื่องราวของแต่ละชีวิตที่ต้องเดินต่อไป แข่งกับเหตุการณ์และแข่งกับเข็มนาฬิกา หรือรอยทางของตะวัน...
โยมแม่.. จัดเตรียมเก้าอี้ไว้ให้ในด้านซ้ายของเตียงขณะที่เหมียว เอนในท่าบังคับที่โยมพี่สาวจับพลิกไว้.. ความรู้สึกในห้องเหมือนกับมีเงาดำคลุมอยู่ สองผู้เยี่ยมไข้จับตามองระหว่างพระและโยมในขณะที่คุยกัน..
นัยตากลมโตเหม่อลอย ผิวหนังแห้งเหี่ยวย่้นซูบซีดจากพิษไข้ ดูเหมือนคนป่วยจะผอมลง.. แก้มตอบ แต่มือทั้งสองข้างอาการบวมหายไป หน้าอกเป็นปกติไม่มีอาการปวดบวม..แต่ขาทั้งสองข้างยับบวมโตเหมือนเดิม
อาการไข้ทำให้ยังคงอ่อนแรง หายใจรวยระริน ไม่พูดเหมือนกับที่เราเจอกันวันแรก มีแต่นัยน์ตาจ้องมองดูพระผู้เปรียบเสมือนพี่ชายมาเยี่ยมเยียนดูแลเหมือนเคย.. สายตาของโยมเหมียว เหมือนกับคนปลงอะไรได้ในชีวิต..รู้ตัวเองดีว่าตอนนี้เป็นอย่างไร? อยู่หรือไป เธอเป็นคนชี้ชะตาชีวิตของตัวเอง..
หลายบทสนทนาที่ได้คุยกับสองผู้เยี่ยมไข้ และในลักษณะคำพูดค่อนข้างตรงไปตรงมาของอาการเหมียว ซึ่งทำให้ทั้งสองคนต้องรับสภาพความจริง.. ว่าถ้าหากเกิดอะไรขึ้นก็ตามขอจงอย่าฟูมฟาย จงอยู่ในอารมณ์ปกติ ทำใจให้สงบแล้วปล่อยให้โยมเหมียวจากไปอย่าสงบ
การแนะนำพูดคุยทั้งนี้ เน้นมาที่คนที่ยังอยู่มากกว่า เกรงว่าจะไม่สามารถทำสติให้อยู่กับความเป็นจริงได้ จึงได้มีการเน้นย้ำในการคิดในแง่บวกเกี่ยวกับวาระสุดท้ายของเหมียวถ้าหากเกิดขึ้นจริง..รวมถึงการดูแลของพยาบาลเป็นการส่งท้ายอาการป่วยและการส่งประวัติของคนป่วยไปยังโรงพยาบาลในอำเภอบ้านเกิด
การแนะนำและการเตรียมความพร้อมในเรื่องส่วนตัวของเหมียว ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะเหตุการณ์ในงานส่งสังขารของเหมียว มันรวดเร็วจนเจ้าพิธีคงจะตั้งรับไม่ทันแน่นอน..
หลายคำถาม..ยังคงทำให้ผู้ป่วยพอยิ้มออกได้บ้าง กับคำถามสุขภาพและความรู้สึกในการเจ็บปวด เวทนามีตรงไหนบ้าง และดูแลรักษาอย่างไร? มีแต่รอยยิ้มเย็นๆ ของเหมียวที่ส่งให้พระพี่ชาย กับดวงตาที่มองมายังพระนักบวช ด้วยอาหารสงบนิ่ง..
ก่อนที่จะเข้าเยี่ยมวันนี้โยมทานอาหารเหลวแบบง่ายที่โรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ได้มากโขอยู่ เกือบหมดถุง ซึ่งเมื่อวันก่อนไม่ทานอะไรเลย..
เสียงตามสายของเหมียวเป็นการสั่งลาในช่วงเช้า เมื่อทราบว่าแม่จะพากลับบ้าน แต่ยังรอพี่สาวอีกสองคนที่จะมารับ..
"พระอาจารย์แวะไปเยี่ยมโยมที่ภูเขียวบ้างนะเจ้าคะ"..
เสียงแผ่วของสาวน้อยผู้ผ่านชีวิตมาอย่างโชคโชน กราบลาพระทางสายโทรศัพท์..ความสงบจากเสียงฟังดูแล้ว..เจ้าตัวอาจจะปลงได้เยอะจากระยะเวลาที่ยืดออกมาร่วมเดือน นับตั้งวันเกิดของอาตมาในเดือนที่แล้ว ที่ได้คุยกัน..กิริยาท่าทางเหมือนกับวันแรกที่เราเคยคุยกัน..
คาดเหตุการณ์เอาไว้ว่ากว่าจะแล้วเสร็จเรื่องเอกสาร จัดเตรียมยาหรือเรื่องรถที่จะนำไปส่งในวันหยุด.. คงจะบ่าย..
"ฮัลโล อาจารย์! เหมียวไปแล้วจ้า..." เสียงสะอื้นของผู้เป็นแม่โทร.แจ้งให้ทราบ..
รถเข็นพยาบาลพาร่างเหมียวลงจากตึกพิเศษ เพื่อเข็นมาที่รถและพากลับบ้าน.. ระหว่างนำเหมียวขึ้นรถฉุกเฉินเพื่อพากลับ..ได้ถอดสายช่วยหายใจออก.. และเหมียวก็ได้กลับไปบ้าน..ของเหมียว บ้านใหม่ที่สว่างและเงียบสงบจริงๆ..
ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่ได้ดูแลและเยี่ยมไข้ผู้ป่วยรายนี้.. ได้เห็นพัฒนาการและความเชื่อมั่นในพุทธานุภาพ และปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นจากแรงอธิษฐาน อันเกิดจากกำลังใจที่ดี ที่จะทำให้ผู้ป่วยสงบ และยอมทำตามคำแนะนำที่ดี ตลอดจนกำลังใจจากคนรอบข้างในการที่จะร่วมกันทำในสิ่งที่ดี เพื่อน้อมนำและชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีที่ยังคั่งค้างในใจของผู้ป่วย ให้ปลดปล่อยออกไป..และให้จากไปด้วยความสุข..เหมือนกับเหมียว..
นับว่าเป็นกิจกรรมที่ดีมากๆค่ะ ชื่นชมๆๆคๆ