71. คนขายเต้าหู้


ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ.....ความหวังยังคงมีอยู่

        ช่วงนี้ผมขอเล่นง่ายๆ ไปก่อนนะครับ (ทั้งๆ ที่ ตั้งใจว่าจะเขียน "บาหลี..อัญมณีแห่งอินโด" และ "หนาว.....ที่เกาหลี" คงต้องขอผลัดไปก่อนละครับ)

        ผมได้รับ FW ที่ดีอีกแล้ว คราวนี้เป็นเรื่องชาวจีน เป็นความรักของพ่อ "ยิ่งใหญ่มาก" ผมอยากนำเสนอทั้งภาษาจีนและไทย แต่...เนื้อเรื่องยาวพอควร จึงจะขอลงภาษาจีนในตอนต้นเท่านั้นนะครับ......

 

一則充滿人性的真實故事

เรื่องจริงที่เปี่ยมด้วยความเป็นมนุษย์
เกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่

 

賣豆腐的故事

  ~我 親~

เรื่องราวคนขายเต้าหู้

คือพ่อฉันผู้เป็นใบ้

 

        中國遼寧北部有一個中等城市 ---鐵嶺--- 

       在鐵嶺工人街街頭,幾乎每天清晨或傍晚,你都可以看到一個老頭兒,推著豆腐車慢慢走著。

       

           ตอนเหนือของมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน มีเมืองขนาดกลาง ชื่อว่า เทือกเหล็ก เกือบทุกเช้าตรู่หรือพลบค่ำ บนท้องถนนกรรมกร จะเห็นผู้เฒ่าเข็นรถขายเต้าหู้เคลื่อนไปอย่างช้าๆ

        

          ลำโพงที่ต่อกับแบตเตอรี่บนรถ กระจายเสียงใสของหญิงสาว

  

          “เต้าหู้มาแล้วจ้า เต้าหู้อ่อนสูตรโบราณ เต้าหู้อร่อยจ้า  เสียงนี่เป็นของฉัน คนขายคือพ่อฉัน พ่อฉันเป็นใบ้”

        

             ตราบถึงวันนี้อายุกว่ายี่สิบแล้ว ฉันจึงใจกล้าพอที่จะบันทึกเสียงตัวเองไว้บนรถขายเต้าหู้ของพ่อ แทนกริ่งทองเหลืองที่พ่อเขย่ามาหลายสิบปี

        

             อายุแค่ 2-3 ขวบ ฉันก็รู้จักว่ามีพ่อเป็นใบ้น่าอัปยศเพียงใด ดังนั้นฉันจึงเกลียดชังพ่อแต่เล็ก  เมื่อฉันเห็นเด็กบางคนถูกแม่สั่งให้มาซื้อเต้าหู้ กลับหยิบเต้าหู้ไปโดยไม่จ่ายเงิน

        

             พ่อโก่งคอยาวแต่ไม่อาจตะเบ็งเสียงออกมา ฉันไม่อาจทำเหมือนพี่ชายที่ไล่ตามไปต่อยเด็ก ได้แต่เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ปริปาก

        

             ฉันไม่ชังเด็กคนนั้น แต่กลับชังพ่อที่เป็นใบ้

        
             ถึงแม้ว่าทุกครั้งที่พี่ชายช่วยหวีผมให้และเจ็บจนต้องสูดปากซี๊ด  ฉันก็แข็งใจไม่ยอมให้พ่อถักผมเปีย
         
             ตอนที่แม่เสียไม่ได้เก็บรูปถ่ายบานใหญ่ไว้ 
        
            
             มีเพียงรูปขาวดำขนาด 2 นิ้วที่ถ่ายร่วมกับสาวเพื่อนบ้านก่อนแต่งงาน เมื่อพ่อถูกฉันเมินเฉย ก็มักจะหันกระจกเงากลับมาดูรูปแม่อีกด้านหนึ่ง เพ่งจนนานพอแล้ว ค่อยจากไปทำงานอย่างซึมเซา

            

             น่าโมโหที่สุดคือเด็กคนอื่นเรียกฉันว่า อีใบ้สาม (ฉันเป็นลูกคนเล็กอยู่อันดับสาม)

           ฉันจะวิ่งกลับบ้านเมื่อด่าสู้พวกเด็กไม่ได้

 

            ต่อหน้าพ่อที่กำลังโม่เต้าหู้อยู่ ฉันเขียนวงกลมบนพื้น แล้วถ่มน้ำลายที่ตรงกลาง  

 

           ถึงแม้ฉันไม่เข้าใจว่าที่ตนทำนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ทำเช่นนี้เมื่อถูกเด็กด่าว่า

          

            ฉันคิดว่า นี่คงเป็นการแสดงคำด่าคนใบ้ที่ร้ายกาจที่สุดแล้ว

          

            ครั้งแรกที่ฉันด่าพ่อด้วยวิธีนี้ ทำให้พ่อต้องหยุดงานในมือ มองดูฉันอย่างงุนงง น้ำตาไหลนองหน้าอยู่นาน

          

            น้อยครั้งที่ฉันเห็นพ่อร้องไห้ แต่วันนั้นพ่อขดตัวในโรงเต้าหู้ร้องไห้ตลอดทั้งคืน 


เป็นการสะอึกสะอื้นที่ไม่ส่งเสียงดัง

            เพราะเห็นพ่อหลั่งน้ำตา ฉันจึงดูเหมือนหาทางออกให้กับความน้อยใจของฉันได้ ในที่สุด

            ดังนั้น ต่อจากนั้นเป็นต้นมา ฉันมักจะไปด่าพ่อต่อหน้าต่อตาแล้วเดินหนี ปล่อยให้พ่องงเป็นไก่ตาแตก

           ทว่า........พ่อไม่หลั่งน้ำตาอีกแล้ว แต่จะขดตัวที่ผอมเซียวให้ลีบเล็กลง พิงกับคานโม่ หรือจานโม่ ดูน่าเกลียดยิ่งในสายตาฉัน

           ฉันต้องเรียนหนังสือให้ดี เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย พ้นจากหมู่บ้านเล็กที่ใครๆก็รู้ว่าพ่อฉันเป็นใบ้
นี่เป็นความปรารถนาใหญ่ยิ่งของฉันในขณะนั้น
 
          ฉันไม่รู้ว่าพี่ชายสองคนมีเหย้าเรือนได้อย่างไร ไม่รู่ว่าโรงเต้าหู้นั้นพ่อเปลี่ยนคานโม่ใหม่อีกกี่ด้าม  
          ไม่รู้ว่ากริ่งทองเหลืองลั่นจนริมขอบสึก ผ่านไปแล้วกี่ฤดูกาลกี่ตำบลหมู่บ้าน
          รู้เพียงว่าฉันปฏิบัติต่อตนอย่างเคืองแค้น เรียนหนังสืออย่างบ้าคลั่ง

          ในที่สุดฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

           เสื้อม่อฮ่อมกรมท่าซึ่งอาโกวตัดเย็บให้ตั้งแต่ปี 1979 พ่อเพิ่งเอามาใส่เป็นครั้งแรกในต้นฤดูใบไม้ร่วงปี 1992

           ท่ามกลางแสงตะเกียงในยามค่ำ พ่อหน้าตาชื่นบานขณะยัดธนบัตรกำใหญ่ซึ่งยังติดกลิ่นคาวเต้าหู้ไว้ที่ฝ่ามือฉันอย่างถีพิถัน ปากก็เอะอะเออออไม่หยุดยั้ง

          ฉันมองดูความดีใจและภาคภูมิของพ่อโดยวางตัวไม่ถูก

          เหม่อมองพ่อเที่ยวแจ้งให้ญาติโยมเพื่อนบ้านทราบด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มพอใจ

          เมื่อฉันเห็นพ่อพาคุณอาและพี่ๆ มาช่วยลากหมูตัวที่พ่อบรรจงขุนมา 2 ปีจนอ้วนพี

   

          ลงมือชำแหละเพื่อเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน เป็นการฉลองที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยได้

          หัวใจแข็งดุจท่อนไม้ของฉันไม่รู้ถูกอะไรสะกิดเข้า จนฉันร้องไห้โฮ

          บนโต๊ะอาหาร ฉันคีบหมูหลายชิ้นให้พ่อต่อหน้าคนหลายๆ คน

ฉันน้ำตานองหน้า เรียกพ่อให้กินเนื้อหมู

          พ่อไม่ได้ยินหรอก แต่เข้าใจความหมายของฉัน

          นัยน์ตาพ่อฉายประกายที่ไม่เคยมีมาก่อน ดวดเหล้าเกาเหลียงที่ตวงซื้อมา พร้อมกับกินชิ้นหมูที่ลูกสาวคีบให้

           พ่อคงเมาแล้ว หน้าแดงก่ำ หลังยืดตรง ส่งภาษามืออย่างองอาจ

           เป็นความจริงที่ว่า ผ่านมา 18 ปีเต็มๆ พ่อเพิ่งเคยเห็นรูปริมฝีปากฉันขณะเรียกพ่อเป็นครั้งแรก

           พ่อโม่เต้าหู้ด้วยความยากลำบาก เอาธนบัตรที่คลุกด้วยกลิ่นไอเต้าหู้ส่งเสียให้ฉันเรียนจนจบมหาวิทยาลัย

 

           ปี 1996 ฉันเรียนจบได้รับบรรจุงานที่เทือกเหล็กห่างจากบ้านเกิด 40 กม.

           เมื่อจัดที่พักเรียบร้อย ฉันเดินทางไปรับพ่อผู้ใช้ชีวิตคนเดียวมาอยู่ในเมือง เพื่อรับความสุขที่ลูกสาวมอบให้แม้จะช้านานก็ตาม

            ทว่าระหว่างทางนั่งแท็กซี่กลับหมู่บ้าน เกิดอุบัติเหตุขึ้น

 

             เรื่องราวต่างๆ หลังจากอุบัติเหตุ ฉันทราบจากพี่สะใภ้ เล่าให้ฟัง.........

(ขออภัย...ต้องต่อตอน 2 แล้วนะครับ เพราะผมมีงานอีกแล้ว...)

 

 

 

 


หมายเลขบันทึก: 425463เขียนเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2011 15:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:36 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีค่ะคุณเปลวเทียน

  • คุณยายเขียนไปโยกไปนะเนี่ย
  • "เยี่ยม"

  • สวัสดีค่ะ
  • สุขสันต์วันวาเลนไทน์ค่ะ
  • ขอบคุณค่ะ

                        

แสดงว่า คุณยายมีดนตรีในหัวใจ....

ขอบคุณดอกไม้ สวยมากครับ

เมื่อคืนผมกลับจาก กราบสังขารหลวงตามหาบัว 

แวะปั๊มน้ำมันที่ภูเรือ เวลาประมาณสี่ทุ่ม เห็นดอกไม้ที่ปั๊มสวยมาก เลยแอบใช้ BB ถ่ายรูปมา 4-5 ภาพ ตั้งใจจะอวดคุณยาย

แต่...ตอนนี้ สาย USB ของ BB รวนผมซะแล้ว (คนแก่..ไม่สมควรกับ BB..) ขอติดหนี้ไว้ก่อนนะครับ

สุขสันต์วันวาเลนไทน์ เช่นกันครับ

ขอบคุณสำหรับกุหลาบและแสงเทียน สวยมากครับ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท