Knowledge Managementการจัดการความรู้
ปัจจุบันหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน กำลังอยู่ในกระแสสังคมที่เรียกว่า สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge - based Society and Economy) สังคมดังกล่าวมีแนวคิดที่ว่าความรู้เป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่ง การพัฒนาความรู้ใหม่ๆ เพื่อการแข่งขันและเสริมสร้างความเข้มแข็ง จึงเป็นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งของกระบวนการพัฒนาประเทศ ในระบบเศรษฐกิจจะให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนความรู้เป็นนวัตกรรมโดยอาศัยเทคโนโลยีระดับสูง การพัฒนาสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้จะทำให้สัดส่วนความรู้ที่อยู่ภายในกับภายนอกตัวบุคคลเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากมีความจำเป็นและความต้องการในการเปลี่ยนแปลงความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคล (Tacit knowledge) ให้มีสภาพกลายเป็นความรู้ที่ปรากฏชัดเจน (Explicit knowledge) ด้วยแนวคิดดังกล่าวทำ ให้สังคมไทยไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน หรือแม้กระทั่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับชุมชนต่างให้ความสำคัญกับ การจัดการความรู้
ความหมายการจัดการความรู้หมายถึง ความสามารถในการจัดการความรู้ ประกอบด้วยการสร้างความรู้ การประมวล การแลกเปลี่ยน และการสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้และการสร้างนวัตกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นในหน่วยงาน
เป้าหมายของ KM เป้าหมายประการแรก คือ เพื่อเป็นองค์กรเรียนรู้ การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร และการสร้างและใช้ความรู้ ในการปฏิบัติงาน มีการเรียนรู้ร่วมกันและแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ ส่วนในแง่ของบุคคลในหน่วยงาน เช่น ถ้าเป็นหน่วยงานของรัฐ ก็จะเป็นข้าราชการเป็นบุคคลเรียนรู้ ควรมีภาวะผู้นำ และสามารถเรียนรู้จากผู้อื่น ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือผู้ใช้บริการ
องค์ประกอบของ KM องค์ประกอบของ KM ที่สำคัญเป็นเรื่องของกระบวนการจัดการความรู้ (KM Process)องค์ประกอบแรก เป็นทัศนะของการปรับเปลี่ยนมุมมองในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดของการจัดการความรู้ ส่วนหนึ่งคือ ผู้ปฏิบัติงานจำเป็นที่จะต้องขยายขอบเขตไปยังบุคคลที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้ในด้านต่าง ๆ ในฐานะที่เป็น “ผู้สร้างความรู้” ทั้งภายในและภายนอกหน่วยงานของตน โดยอาจจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อการถ่ายทอด แลกเปลี่ยน และแบ่งปันความรู้ให้เกิดขึ้น และประการที่ 2 เป็นข้อเสนอแนะหรือแนวทางของการปรับเปลี่ยนที่ยั่งยืนสำหรับการฝังรากของการจัดการความรู้ลงในกระบวนการของการดำเนินงาน ทั้งนี้ความสำเร็จดังกล่าวตั้งอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่สำคัญคือ “สมองประสานใจ” นั่นคือ ผู้ที่อยู่ในวิชาชีพจะต้องมีทัศนะ ความคิดเห็น และความรู้สึกเชิงบวก รวมทั้งมีความมั่นใจและเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำแนวคิดดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม
ชื่อเรื่อง : การพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านภาษาไทย สำหรับเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ด้านการอ่าน ระดับช่วงชั้นที่ 2
ผู้วิจัย : อัจฉรา สุดสังข์ เทียมจันทร์ พานิชย์ผลินไชย รัตนะ บัวสนธ์
สรุปย่อการวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายหลัก เพื่อพัฒนาชุดฝึกการอ่านภาษาไทย สำหรับเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ ระดับช่วงชั้นที่ 2 ซึ่งสามารถนำเสนอขั้นตอน ได้ดังนี้
1. สำรวจปัญหาและความต้องการเกี่ยวกับองค์ประกอบทางการอ่านภาษาไทยของครูการศึกษาพิเศษ พบว่าองค์ประกอบด้านการอ่านทุกประเภท ภาพรวมมีปัญหาในระดับมากถึงมากที่สุด ส่วนรูปแบบการนำเสนอของบทอ่าน ภาพรวมมีความต้องการอยู่ในระดับมาก
2. การสร้างและหาประสิทธิภาพชุดฝึกทักษะการอ่านภาษาไทยนั้น มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และมีค่าประสิทธิภาพ 83.11/80.22
3. การทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านพบว่า นักเรียนที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ที่ใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านแล้ว มีความสามารถในการอ่านหลังใช้ชุดฝึกสูงกว่าก่อนใช้ชุดฝึก อย่างมีนัยความสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีความสามารถในการอ่านสูงกว่านักเรียนที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ที่ไม่ได้ใช้ชุดฝึกทักษะการอ่าน อย่างมีนัยความสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมการอ่านที่ดี ส่วนใหญ่ไม่มีอาการเครียดหรือเกร็ง ไม่พบอาการไม่แน่ใจ ไม่มั่นคงทางอารมณ์ มีบ้างเป็นส่วนน้อยที่หลงตัวอักษร ส่ายหน้า หรือสั่นศีรษะ และจับหนังสืออ่านชิดหน้าจนเกินไป
4. การประเมินผลการใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านภาษาไทยนั้น ครูผู้สอนการศึกษาพิเศษประเมินผลการใช้ชุดฝึกทักษะ ด้านปัจจัยนำเข้าและด้านผลผลิต ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนด้านกระบวนการ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนนักเรียนที่ใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านแล้ว ประเมินผลภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด