ในปัจจุบัน องค์การระหว่างประเทศหลายแห่งได้ให้ความสนใจแก่การให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งนี้ เพราะทรัพย์สินทางปัญญาไม่เพียงแต่มีความสำคัญในทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านต่างๆ เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะทางด้านการศึกษา วัฒนธรรม สุขภาพอนามัย อาหาร หรือแม้กระทั่งวิถีชีวิตของผู้คนทั่วไป แต่องค์การระหว่างประเทศประเทศและอิทธีพลต่อการกำหนดนโยบายระหว่างประเทศและอิทธิพลต่อการตรากฎหมายภายในของแต่ละประเทศมากที่สุดก็คือ องค์การการค้าโลก (World Trade Organization) และองค์การทรัพย์สินทางปัญญา (World Intellectual Property Organization)
แม้ว่าประเทศไทยได้พัฒนากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญามาเป็นเวลาหลายสิบปีแต่ปัจจุบันประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศเพียง ๒ ฉบับเท่านั้น คือ อนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม และความตกลงศิลปกรรม และความตกลงทริปส์ ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานองค์การระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากความตกลง ทั้งสองฉบับ ที่ประเทศไทยมีพันธกรณีที่ต้องปฎิบัติตามแล้วมีความตกลงระหว่างประเทศอีกหลายฉบับที่อยู่ระหว่างประเทศศึกษา ปรับปรุงและแก้ไขเปลี่ยนแปลงทั้งโดยองค์การการค้าโลก (World Trade Organization) และองค์การทรัพย์สินทางปัญญา (World Intellectual Property Organization)
แม้ว่าในปัจจุบัน องค์การการค้าโลกจะไม่มีนโยบาลในการสร้างความตกลงฉบับอื่นนอกเหนือไปจากความตกลงทริปส์ แต่ประเด็นด้านทรัพย์สินทางปัญญาก็ยังถือเป็นประเด็นที่โต้แย้งกันยาวนานในองค์การการค้าโลก ผู้ที่รับผิดชอบก็คือคณะมนตรีของทริปส์ โดยในปัจจุบันคณะมนตรีของทริปส์มีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับประเด็นต่างๆ มากมายเช่น ผลกระทบของทรัพย์สินทางปัญญาต่อการเข้าถึงยา ความสัมพันธ์ระหว่างความตกลงทริปส์กับอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ การคุ้มครองสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิต การจัดตตั้งระบบพหุภาคีเพื่อการจดแจ้งและการจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ และการขยายการคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของสินค้าอื่นนอกเหนือจากไวน์ และสุรา
องค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก ได้พัฒนาความตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับเสร็จ และมีอีกหลายฉบับที่อยู่ระหว่างการเจรจา สาระสำคัญของความตกลงระหว่างประเทศเหล่านี้อาจแบ่งได้เป็น ๒ ประเทศคือ ความตกลงที่เกี่ยวกับสิทธิบัตร ( Patent Agende) และความตกลงที่เกี่ยวกับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือที่เรียกว่า “วาระดิจิทัล” (Digital Agende) การดำเนินการนี้เป็นไปเพื่อขยายขอบเขตความคุ้มครองลิขสิทธิ์ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี โดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก ได้ดำเนินการร่าง “สนธิสัญญาอินเทอร์เน็ต” แล้วเสรจ็ตั้งแต่ปี ค.ศ ๑๙๙๖ สนธิสัญญาอินเทอร์เน็ตประกอบด้วยสนธิสัญญา ๒ฉบับ สนธิสัญญาสิขสิทธิ์ และสนธิสัญญาการแสดงและสิ่งบันทึกเสียง สาระสำคัญ ทั้งสอง ฉบับครองคลุมประเด็นต่างๆ หลายประเด็นด้วยกัน เช่น การห้ามการทำซ้ำชั่วคราว การรับรองสิทธิ์ในการจำหน่ายการคุ้มครองมาตรการป้องกันการหลีกเลี่ยงเทคโนโลยี การคุ้มครองข้อมูล บริหารสิทธิ์ และการจำกัดความรับผิดของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
จะเห็นได้ว่า กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศมีอิทธิพลอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนของประเทศไทยต้องต้องให้ความสนใจแก่กระแสการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญามากขึ้น เป็นที่น่ายินดีว่า หลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้สร้างความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ในการพัฒนากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา และมีบทบาทในเวทีการเจรจาการค้าระหว่างประเทศทีเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญามากขึ้น ประสบการณเหล่านี้ได้ช่วยให้ประเทศไทยเข้าใจประเด็นข้อขัดแย้งในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาได้อย่างสึกซึ้ง และบุคลากรของประเทศไทยก็ได้เพิ่มพูนทักษะการเจรจาในเวทีระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น จึงมั่นใจได้ว่าในการเจรจาประเด็นต่างๆ ในระดับระหว่างประเทศ รัฐต้องสามารถบรรลุผลการเจรจาที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชนโดยรวมอย่างแท้จริง
เห็นด้วยว่าปัจจุบันนี้ประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่องมาก
ผมว่ากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญามีความสำคัญมากกับการประกอบธุรกิจและการคิดค้นสิ่งสร้างสรรค์ต่างในปัจจุบัน
อ่านแล้วมีความรู้ขึ้นเยอะเลยครับ ขอบคุณครับ