ผักเหลียง
โดยธรรมชาติผักเหมียงเป็นพันธุ์ไม้ป่า เจริญเติบโตได้ดีภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ พบได้ทั้งบริเวณเนินเขาและที่ราบในความสูงจากระดับน้ำทะเล 2 – 500 เมตร หรือสูงกว่านั้น ในบริเวณที่มีดินร่วนซุยและมีความอุดมสมบูรณ์สูง มีต้นไม้ปกคลุมให้ร่มเงาเพียงพอ ฝนตกชุกคือมีปริมาณน้ำฝนไม่น้อยกว่า 300 มิลลิเมตรต่อปี ระยะเวลาฝนตกไม่น้อยกว่า 150 วันต่อปีและฝนแล้งติดต่อกันไม่เกิน 45 วัน
|
|
 |
ผักเหมียงจึงพบมากในภาคใต้ตอนกลางฝั่งตะวันตกของประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่
เช่น จังหวัดพังงา ระนอง กระบี่ ตรัง (ฝั่งอันดามัน) ชุมพร
(ฝั่งอ่าวไทย) เป็นต้น จะสังเกตเห็นว่าผักเหมียงขึ้นเองตามธรรมชาติ
หรือมีการปลูกแถบจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันตกมากกว่าฝั่งตะวันออก
อาจเป็นเพราะปริมาณน้ำฝนชุกและต่อเนื่องในฝั่งตะวันตกจึงเหมาะสมกว่าที่จังหวัดชุมพรได้มีการปลูกผักเหมียงใต้ร่มเงาไม้ผล
เช่น เงาะ ทุเรียน ชมพู่ หรือร่วมกับต้นไม้ชนิดอื่นๆ เช่น จันทร์เทศ
กานพลู หมาก โดยปลูกให้ผักเหมียงขยายพันธ์งอกไปเป็นกลุ่มใต้ร่มเงา
และมีการเก็บเกี่ยวตลอดโดยให้ต้นสูงได้ประมาณศีรษะคน (สวนนายสนั่น –
นางบุญหนุน ชูกลิ่น ที่ ตำบลวังไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร)
ที่อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลาได้มีการปลูกผักเหมียงในร่องยาง
คนใต้นิยมนำมากินเป็นผักเคียงกับขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้
อาหารที่ได้รับความนิยมที่ประกอบจากผักเหมียง คือ
ผักเหมียงต้มกะทิหรือแกงเคย ผักเหมียงได้ชื่อว่าเป็น
“ราชินีแห่งผักพื้นบ้านภาคใต้” font>
|
 |
ลักษณะทั่วไปของผักเหลียง
:
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Gnetum gnemon Linn. var. tenerum
Markgr.
วงศ์ : GNETACEAE
ชื่อสามัญ :ผักกระเหรี่ยง
ชื่อท้องถิ่น :เขลียง,เหลียง, เรียนแก่
(นครศรีธรรมราช) ผักกะเหรี่ยง (ชุมพร) ผักเมี่ยง, เหมียง (พังงา)
ต้น:ผักเหมียงเป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 – 5 เมตร
มีเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นประมาณ 20 เซนติเมตร
เนื้อไม้ค่อนข้างอ่อนสามารถโน้มลงได้โดยลำต้นไม้หัก ผิวเปลือกเรียบ
เปลือกอ่อนมีสีเขียวเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
ใบ :ใบผักเหมียงมีลักษณะคล้ายยางพารา
ใบออกมาจากปลายยอดของต้นและกิ่ง ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามกัน
ใบเป็นรูปรีปลายใบเรียวแหลม มีขนาด กว้าง 4 – 10 เซนติเมตร ยาว 10 –
20 เซนติเมตร ก้านใบยาวประมาณ 1 – 2 เซนติเมตร
เนื้อใบบางแต่เหนียวคล้ายแผ่นหนัง ใบมีสีเขียวเป็นมัน
แต่หากต้นอยู่ในที่โล่งสีของใบจะจางลงหรืออาจขาวทั้งหมด
ยอดใบอ่อนมีรสชาติหวานมัน รับประทานได้ทั้งดิบและสุก
ดอก :ผักเหมียงมีทั้งดอกตัวผู้และดอกตัวเมีย
โดยดอกตัวผู้และดอกตัวเมียจะออกต่างต้นกัน
กล่าวคือหากต้นใดมีดอกตัวผู้จะไม่มีดอกตัวเมีย
ดอกตัวผู้เป็นดอกขนาดเล็กออกเป็นช่อตาม ข้อของกิ่ง ช่อดอกยาวประมาณ 3
– 4 เซนติเมตร ในแต่ละช่อมีปุ่มดอกขนาดเล็กเรียงกันเป็น ข้อๆ ประมาณ 5
– 8 ข้อ กลีบดอกมีสีขาว ดอกตัวเมียเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีขนาดของดอก
ใหญ่กว่าดอกตัวผู้ ดอกออกเป็นช่อตามข้อของกิ่ง ช่อดอกยาวประมาณ 5 – 7
เซนติเมตร ใน แต่ละช่อมีปุ่มดอกเรียงเป็นข้อๆ ประมาณ 7 – 10 ข้อ
ทั้งดอกตัวผู้และดอกตัวเมียจะเริ่มออก ดอกในช่วง เดือนพฤศจิกายน –
ธันวาคม ผลแก่สามารถเก็บไว้ขยายพันธุ์ได้ในช่วงเดือนมีนาคม –
เมษายน
ผักเหมียงจะออกดอกเมื่อมีอายุประมาณ 5 – 6 ปี
ผล :จะมีลักษณะเป็นรูปกระสวย เปลือกกว้างประมาณ 1 –
1.5 เซนติเมตร มีความยาว ประมาณ 2.5 – 4 เซนติเมตร
ผลอ่อนมีเปลือกสีเขียว เมื่อแก่จัดเปลือกและเนื้อจะมีสีเหลือง
เนื้อมีรสหวาน ใน 1 ช่อจะมีผลประมาณ
|
 |
การปลูกผักเหมียง :
ผักเหมียงควรปลูกในที่ร่ม มีดินร่วนซุย มีความอุดมสมบูรณ์สูง
และมีฝนตกชุกและต่อเนื่อง ในปัจจุบันมีการปลูกผักเหมียงมากขึ้น
โดยการปลูกแซมสวนยางพารา สวนมะพร้าว และสวนสมรม
การปลูกผักเหมียงเพื่อการบริโภคนั้น มักจะตัดต้น
ไม่ให้สูงเกินมือเอื้อมถึง
การขยายพันธุ์ผักเหลียง
:
สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีคือ การเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
และการใช้ต้นจากราก แขนง
1.การเพาะเมล็ดผักเหลียง
นำเมล็ดมาล้างให้สะอาด
แล้วนำไปเพาะบนกระบะที่มีส่วนผสมของดินทรายกับขี้เถ้าแกลบ
กลบให้วัสดุเพาะเสมอเมล็ด รดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ
เมล็ดจะเริ่มงอกประมาณเดือนที่ 4 จนถึง 1 ปี
ต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดจะมีอัตราการรอดสูง ทรงพุ่มสวย ทนแล้งได้ดี
แต่อายุการเก็บเกี่ยวต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปี
2.การตอนกิ่งผักเหลียง
การตอนกิ่งควรตอนจากต้นหรือกิ่งกระโดงที่ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป
โดยสังเกตเปลือกของกิ่งควรมีสีน้ำตาลอมเขียวเล็กน้อย
การควั่นควรควั่นให้ชิดกับข้อ
รอยควั่นมีระยะห่างกันเท่ากับเส้นรอบวงของต้นหรือกิ่งที่จะตอน
เมื่อควั่นเสร็จแกะเปลือกขูดเนื้อเยื่อเจริญออกให้หมด
ใช้ขุยมะพร้าวแช่น้ำจนอิ่มใส่ถุงพลาสติกผูกปากถุง
กรีดถุงจากก้นถึงปากถุงนำมาหุ้มที่รอยควั่นผูกเชือกหัวท้ายให้แน่น
หมั่นตรวจดูความชื้นอย่าปล่อยให้แห้งรากจะงอกภายในเวลาประมาณ 2 – 3
เดือน ตรวจดูรากสามารถดูดน้ำได้หรือไม่
เมื่อรากทำงานดีแล้วตัดเอาลงถุงปลูก เมื่อต้นแข็งแรงดีจึงนำลงหลุมปลูก
การปลูกด้วยกิ่งตอนจะได้ทรงพุ่มดี ให้ผลผลิตมากและรวดเร็ว
3.การใช้ต้นจากรากแขนง
ผักเหมียงที่มีอายุประมาณ 4 – 5 ปี หากต้นและรากเจริญดีก็จะงอกต้นใหม่
สามารถขุดนำไปปลูกได้ แต่อัตราการรอดตายประมาณร้อยละ 50 – 80
เพื่อเพิ่มอัตราการรอดตายควรนำต้นใหม่มาปลูกในถุงเพาะชำจนมีความแข็งแรงเสียก่อนนำลงปลูก
4.การเตรียมพื้นที่ปลูกผักเหลียง
ระยะปลูก 3 x 3 เมตร ต้นพันธุ์ที่ใช้ต้องเป็นพันธุ์ที่แข็งแรง
วางต้นพันธุ์ให้เอียง 45 องศา ในหลุมที่ขุดแล้วกลบดินแต่พอแน่น
รดน้ำให้ชุ่มใช้ไม้หลักปักผูกเชือกให้เรียบ ร้อยเพื่อป้องกันลม
ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝนหรือช่วงฝนตกจะช่วยให้ไม่เสียเวลา และแรงงาน
ในการรดน้ำ การให้ปุ๋ยแบ่งใส่ 2 ครั้ง ในช่วงต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน
ใช้ปุ๋ยสูตร 15 -7 - 18, 15 - 15 - 15 ผสมกับปุ๋ย
สูตร 12 - 5 - 14 อัตรา 30 กิโลกรัม/ไร่/ปี กรณีปลูกร่วมในสวนยาง
ในสวนไม้ผล ในช่วงต้นฤดูฝนใช้ปุ๋ยสูตร 15 - 15 -15 อัตรา 50
กิโลกรัม/ไร่/ปี
5.การเก็บเกี่ยวผักเหลียง
เริ่มเก็บเกี่ยวเมื่อต้นผักเหมียงมีอายุ 2 ปีขึ้นไป เก็บเกี่ยว 15-30
วัน/ ครั้ง เก็บยอดอ่อนถึงยอดเพสลาด ควรเด็ดให้ชิดข้อ
ไม่เด็ดกลางข้อหรือตัด เพราะจะทำให้การแตกยอดอ่อนในครั้งต่อไปจะช้า
เมื่อเก็บแล้วอย่าให้ใบหรือยอดอ่อนนั้นถูกแสงแดดและลม
ควรพรมน้ำแต่พอชุ่ม สามารถเก็บได้นาน ประมาณ 5-6 วัน
|
 |
โรคและแมลงที่ปรากฏ :
1. โรคใบจุดส่าหร่าย (Agal leaf-spot, red
rust)
เชื้อสาเหตุ : Cephaleuros
virescens
ลักษณะของโรค : เป็นจุดกลมขนาด 3-5
มิลลิเมตร มองเห็นเป็นขุยฟูเหมือนกำมะหยี่ มีสีเขียวอมเหลือง
สีส้มหรือสีน้ำตาลอมส้ม เมื่อขูดจุดแผลจะหลุดโดยง่าย
เนื้อเยื่อเป็นสีเหลือง
2.ตะไคร่บนใบ (Leaf epiphyte)
เชื้อสาเหตุ :
เป็นการเจริญร่วมกันของราและสาหร่าย
ลักษณะของโรค : เป็นจุดเล็ก ๆ
อาจมีสีขาวอมเทา สีเขียวอ่อน หรือสีอื่น ๆ
พบในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง ทรงพุ่มหนาทึบ ไม่ตัดแต่งกิ่ง
การใช้ประโยชน์จากต้นเหลียง
:
ใบผักเหมียงใช้รับประทานสดและประกอบเป็นอาหาร เช่น แกงเลียง ต้มกะทิ
ใช้ห่อเมี่ยงคำ ผัดวุ้นเส้น แกงไตปลา และผัดผัก
ในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย
นิยมนำเนื้อในเมล็ดของผักเหมียงมาทำข้าวเกรียบ
สรรพคุณทางยา - ใบ
รับประทานเพื่อบำรุงเส้นเอ็น กระดูก สายตา
และสามารถนำมาใช้ลอกฝ้าได้อีกด้วย
การตลาดและลู่ทางการค้าของผักเหลียง
:
ผักเหมียงมีขายทั่วไปตามตลาดชุมชนในภาคใต้ โดยขายเป็นกำ กำละ 5 – 20
บาท แล้วแต่ขนาดกำ โดยปกติแล้วเมื่อนำผักเหมียง
มาปรุงเป็นอาหารผักเหมียงจะยุบตัวมาก จึงต้องใช้ในปริมาณมากพอควร
ในอดีตผักเหมียงนิยมบริโภคกันในจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน
และมีการบริโภคกันบ้างแถบจังหวัดชุมพรและสุราษฎร์ธานี
ปัจจุบันนี้ได้มีการขยายพื้นที่การปลูกผักเหมียงมายังจังหวัดในภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย
เช่น จังหวัดสงขลา เป็นการขยายตลาดมาสู่ผู้บริโภคได้มากขึ้น
คาดว่าผู้บริโภคในกรุงเทพฯและภาคอื่นของประเทศจะบริโภคผักเหมียงกันมากขึ้นตามการเคลื่อนย้ายของประชากร
และการให้ข้อมูลการบริโภคที่ทำได้แพร่หลายและกว้างขวางขึ้น
เอกสารอ้างอิง
:
กูล จุลแก้ว. 2536. เหมียง ผักพื้นบ้านเศรษฐกิจที่น่าสนใจ.
โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการผักพื้นบ้าน สำนักงานเกษตรจังหวัดพังงา
กรมส่งเสริมการเกษตร. 49 หน้า.
สถาบันการแพทย์แผนไทย. 2542. ผักพื้นบ้านภาคใต้. กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก. 279 หน้า.
|
|
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย sucahda pattanajaroan ใน โลกใหม่แห่งการเรียนรู้ของจอย
สวัสดีค่ะ
แวะมาเยี่ยมค่ะ
ชอบค่ะผักเขลียง
ลวกกินกับน้ำพริก
หรือผัดกับไข่ก็อร่อยดี