เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้ไปร่วมฟัง "นักวิจัยชาวบ้าน" ซึ่งปราชณ์ชาวบ้านภาคอีสานมีงานวิจัยแบบไทบ้าน ที่เรียบง่าย เข้าใจง่าย และที่สำคัญปฎิบัติได้จริง ซึ่งจะสังเกตเห็นได้จาก การนำเสนอที่สามารถอธิบายแบบง่ายๆ อย่างเช่น พ่อ ชาลี มะระแสง ปราชณ์ชาวบ้านจังหวัดอำนาจเจริญ อธิบายด้วยรูปภาพเพียง 3 ใบ ก็ทำให้ทั้งนักวิชาการและนักวิชาเกินอย่างชาวบ้านที่มาฟังรวมทั้งชาวบูรณาการอย่างพวกเรา เข้าใจถึงจุดประสงค์ที่พ่อชาลีจะสื่องานวิจัยของท่านออกมาให้พวกเราฟัง และที่น่าคิดก็คือ เมื่อผู้วิจัยได้ทำอย่างจริงจังมองปัญหาของตัวเองออก และมองหาจุดบอดของตนเองได้ ผู้นั้นก็จะสามารถแก้ปัญหาของตนเองได้อย่างถูกต้อง และวันนั้นก็มีนักวิชาการมานำเนสองานวิจัยเหมือนกัน แต่ใช้คำที่ฟังยาก อธิบายยาก ทำให้เข้าใจ ยากตามมา ไม่แปลกเลยที่ว่าทำไมงานวิจัยของนักวิชาการส่วนใหญ่ถึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้ในระดับรากหญ้า เพราะสื่อความหมายยากนั่นเอง
และอีกอย่างหนึ่งในการทำวิจัยไทบ้าน กับงานวิจัยของนักวิชาการ งบประมาณที่ใช้ในการทำงานวิจัยนั้น มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ซึ่งงานวิจัยไทบ้านใช้งบประมาณ 30,000 บาท ส่วนงานวิจัยของนักวิชาการ 200,000 บาท
ท่านผู้รู้ทั้งหลายช่วยอธิบายเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้น......
วิจัยชาวบ้านนั้นไม่มุ่งเน้นที่ตัวเงิน แต่นักวิจัยวิชาการนั้นเน้นเงินมากกว่า จึงมองได้อีกอย่างที่คิดว่าเงินเป็นตัวปัญหา พอสรุปได้หรือเปล่าไม่แน่ใจเหมือนกันครับ การแก้ปัญหานั้นอยากให้ตัดเงินออกจากกระบวนการแก้ปัญหาจะได้ผลมากที่สุด แต่คงทำได้ยาก เพราะทุกหนแห่งล้วนเต็มไปด้วยเงินกันหมดแล้ว อาจถอยหลังได้ยาก