บุคคลออทิสติก ( Autistic Disorder )หรือ ออทิสซึม (Autism )เป็นโรคทางจิตเวช ที่สามารถวินิจฉัยได้ตั้งแต่วัยเด็กเล็ก ซึ่งยังไม่สามารถหาสาเหตุของโรคได้ชัดเจน โดยเด็กจะมีลักษณะชอบแยกตัวอยู่ตามลำพังคล้ายมีโลกของตัวเอง ขาดการรับรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวโดยจะพบความผิดปกติ 4 ด้าน คือ
1.พฤติกรรมซ้ำๆ
2.พัฒนาการด้านสังคมผิดปกติ
3.พัฒนาการด้านการสื่อความหมาย การพูด การใช้ภาษาผิดปกติ
4.ขาดจินตนาการ
สาเหตุ เชื่อว่ามีสาเหตุทางชีวภาพ เช่น กรรมพันธุ์ ความผิดปกติทางสมอง ภาวะการตั้งครรภ์ และการคลอดที่ผิดปกติ
การวินิจฉัย จากการวินิจฉัยของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน ครั้งที่ 4 ได้ กล่าวไว้ว่า
เป็นความผิดปกติของพัฒนาการอย่างรุนแรง แสดงก่อนอายุ 3 ปี ประกอบด้วย
1. ผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม โดยพบลักษณะ
- ไม่สบตา ไม่แสดงสีหน้า ท่าทาง
- สร้างสัมพันธ์กับเพื่อนตามวัยไม่ได้
- ไม่อยากเล่นกับใคร
- แสดงอารมณ์ไม่เหมาะสม
2. ผิดปกติทางการสื่อความหมาย โดยพบลักษณะ
- พูดช้า หรือ ไม่พูด
- โต้ตอบยาวๆไม่ได้
- พูดซ้ำๆ
- เล่นสมมุติไม่ได้
3. มีพฤติกรรมและความสนใจซ้ำๆโดยพบลักษณะ
- พฤติกรรมซ้ำๆทำอยู่สิ่งเดียว
- ไม่ยอมให้เปลี่ยนกิจวัตร ทำตามขั้นตอน ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
- หมุนตัว โยกตัว เขย่งปลายเท้า เคลื่อนไหวซ้ำๆ
- สนใจบางส่วนของของเล่น เช่น ล้อรถ
การดูแลรักษา บุคคลออทิสติก ถึงแม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษา ที่จำเพาะเจาะจงให้หายขาด ได้แก่ สามารถที่จะช่วยเหลือให้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้ โดยมีแนวทางในการดูแลรักษาผู้เป็นบุคคลออทิสติกดังนี้
1. การส่งเสริมศํกยภาพของครอบครัว ( Family Empowerment ) สถาบันครอบครัวมีบทบาทสำคัญมากที่สุดในการดูแลเด็ก เนื่องจากเด็กจะอยู่กับครอบครัวมากที่สุด การสนับสนุนช่วยเหลือผู้ปกครอง และพี่น้องของผู้ที่เป็นบุคคลออทิสติกเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากจะลดข้อสงสัยการประเมินปัญหา แล้วยังช่วยส่งเสริมให้กระบวนการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
2 .การส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ในระยะแรกเริ่ม ( Early Intervention )
การส่งเสริมพัฒนาการและ การเรียนรู้ ในระยะแรกเริ่มควรให้ตั้งแต่เด็กอายุน้อยหรือแรกพบความผิดปกติ โดยทำอย่างเหมาะสม และต่อเนื่องกิจกรรมที่จัดควรให้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของเด็กด้วย เด็กควรได้รับการส่งเสริมพัฒนาการในทุกด้าน เพื่อให้เกิดความสมดุล จะทำให้เด็กได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ
3.พฤติกรรมบำบัด ( Behavioral Therapy ) พฤติกรรมบำบัดเป็นการฝึก ปรับ พฤติกรรม ( Behavioral Modification Procedure )และการวิเคราะห์ พฤติกรรมแบบประยุกต์ ( Applied Behavion Analysis ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมที่เหมาะสม หยุดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา และสร้างพฤติกรรมใหม่ที่ต้องการ เน้นการฝึกตัวต่อตัว
4.การฝึกและแก้ไขการพูด ( Speech Therapy )การพูดเป็นวิธีการสื่อความหมาย
ที่สำคัญที่สุด แต่ถ้ายังไม่สามารถพูดได้ก็จำเป็นต้องหาวิธีการอื่นมาทดแทนการพูด เพื่อให้สามารถบอกความต้องการของตนเองได้ซึ่งเรียกวิธีการเหล่านี้ว่า
การสื่อความหมายทดแทน( Augmentative and Alternative Communication ;AAC ) เพื่อใช้ทดแทนการพูดเป็นการชั่วคราว
5.การฝึกฝนทักษะในชีวิตประจำวัน ( Activity of Daily Living Training )
การฝึกให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องกิจวัตรประจำวัน มีความสำคัญมาก เพื่อให้เด็กสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง เต็มตามความสามารถของตนเอง หรือต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นน้อยที่สุด โดยมีวัตถุประสงค์
- เพื่อให้เด็กช่วยเหลือตัวเองได้ตามศักยภาพ
- เพื่อลดการดูแลของพ่อแม่หรือผู้ปกครอง
- เพื่อส่งเสริมให้เด็กปรับตัวเข้าหาสังคมได้
- เพื่อให้เด็กเกิดความภาคภูมิใน เพื่อเขาสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวของเขาเอง
6.การฝึกฝนทักษะทางสังคม ( Social skill Training ) ทักษะทางสังคมเป็นความบกพร่องที่สำคัญของบุคคลออทิสติก การฝึกทักษะสังคมนี้สามารถทำได้ โดยจำลองเหตุการณ์หรือสถานการณ์ทางสังคมต่างๆให้ เพื่อให้ทดลองปฏิบัติจนเกิดความชำนาญ หรือการสอนโดยจดจำรูปแบบสนทนา ในสถานการณ์ต่างๆ นำมาใช้โดยตรง
7. การจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program ) เป็นการจัดทำ แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล เพื่อเป็นการวางแผนในการฝึกทักษะให้เหมาะสมกับความต้องการเด็กแต่ละคน
8.การรักษาด้วยยา ( Pharmacotherapy ) เด็กในกลุ่มนี้บางกรณีจำเป็นต้องอาศัยการใช้ยาโดยการวินิจฉัยของแพทย์ควบคู่ไปกับการบำบัดฟื้นฟู โดยทั่วไปจะพบการใช้ยาใน 3 กลุ่ม อาการ คือ
1. ยาควบคุมพฤติกรรมที่รุนแรง เช่น การทำร้ายตนเอง การทำร้ายผู้อื่น ( thioridazine ,haloperidol , Riseridone )
2. ยากันชักเพราะมีภาวะลมชักร่วมด้วยซึ่งพบได้ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วย
( sodium valproate , carbamazcpine )
3. ยาควบคุมสมาธิในเด็กที่มีสมาธิสั้นร่วมด้วย ( Methylphenidate )
ไม่มีความเห็น