“พบเภสัชรอบสุดท้ายรึยัง?” คำพูดคำนี้ได้ยินเสมอๆ จากพี่ป้อม ซึ่งเป็นพยาบาลที่รับผิดชอบอยู่หน้าห้องตรวจเบาหวาน แต่ก่อนเราฟังแล้วก็คิดตาม นั่นสิ ทำไมต้องรอบสุดท้าย แสดงว่าต้องพบเภสัชฯหลายรอบงั้นเหรอ แล้วการพบเภสัชฯ หลายรอบนี่มันดีจริงรึเปล่า...
ที่ลำปางเภสัชกรจะร่วมทีมดูแลผู้ป่วยกับพยาบาล หมอ คือจะเห็น 3 วิชาชีพนี่ยืนพื้นที่คลินิกพิเศษโรคเบาหวาน ตอนเริ่มมาร่วมทีมใหม่ๆ คนไข้ก็จะงงๆ ว่า เภสัชคือใคร มาทำอะไร แม้กระทั่งหมอ ก็ยังงง ว่า เภสัชจะมาทำอะไรที่คลินิกพิเศษ ช่วงแรกๆ ตอนนั้นคลินิกพิเศษโรคเบาหวานจะอยู่ที่ชั้นล่างของตึกพระสงฆ์อาพาธ และเค้าจะมีห้องสุขศึกษาสำหรับให้ความรู้คนไข้ เภสัชที่เข้าไปร่วมทีมตอนแรกๆ ก็เข้าไปจับจองห้องนั้น เอาโต๊ะมาตั้ง 2 ตัว และนั่งประจำรอให้คนไข้เดินเข้ามาหาหลังจากที่คนไข้พบหมอเรียบร้อยแล้ว บทบาทของเภสัชตอนนั้นก็จะทำขั้นตอนเดียวคือให้ความรู้เรื่องยาหลังจากที่คนไข้พบแพทย์แล้ว คือพูดอย่างเดียว คุยกับคนไข้ว่าเค้ากินยายังไง แล้ววันนี้หมอปรับยาใหม่เป็นยังไง จากนั้นให้ไปพบพยาบาลเพื่อรับใบนัดและไปรับยาที่ห้องจ่ายยาต่อไป
หลังจากสร้างความคุ้นเคยในช่วงแรกๆ เภสัชก็เริ่มกล้าที่จะเข้าไปคุยกับหมอ เช่น หลังจากคุยกับคนไข้แล้วพบว่าไม่ได้กินยาตามสั่ง ก็จะเข้าไปปรึกษาแพทย์เพื่อแจ้งว่าคนไข้ไม่ได้กินยาตามสั่งนะคะ จะปรับยาเลยหรือจะให้คนไข้กินยาให้ถูกต้องเสียก่อน คำตอบก็มักจะเป็นอย่างหลัง ทำให้ต้องมาแก้ไข order ทั้งใน OPD card และใบสั่งยาอีกรอบ ก็ทำแบบนี้มาเรื่อย จนกระทั่งวันหนึ่ง ห้องตรวจคลินิกพิเศษจะต้องย้ายจากบริเวณที่อยู่เดิมไปยังที่ใหม่ชั่วคราวเพื่อรอการปรับปรุง OPD อายุรกรรม ที่จะใช้ห้องผ่าตัดกระดูกเดิม ปรับใหม่ให้เป็น OPD อายุรกรรม ที่ใหม่ที่ต้องย้ายไปอยู่ ไม่มีห้องอะไรเลย ทุกคนนั่งประจันหน้ากัน อ้อ ยกเว้นห้องตรวจของแพทย์ค่ะที่จะต้องมิดชิดหน่อย เภสัชต้องออกมากจากห้องนั่งประจันหน้ากับพยาบาล คือ ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิมว่างั้นเถอะ
ในบรรยากาศที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทำให้เรามองเห็นการทำงานของพยาบาลว่า เค้ายุ่งแต่เช้าเลย ต้องซักประวัติ วัดความดัน ตรวจเท้า วัดรอบเอว ฯลฯ ไหนจะต้องบริหารจัดการคนไข้บางคนที่ไม่เข้าใจในกระบวนการทำงานของคลินิกพิเศษ แล้วเภสัชล่ะ ทำอะไร นั่งรอคนไข้ที่เดินออกมากจากห้องหมอหลังจากที่หมอตรวจเสร็จแล้ว...บรรยากาศทำให้เราได้คิด เราคงจะนั่งว่างๆ กันไม่ได้แล้ว
กระบวนการซักประวัติเรื่องยาก่อนพบหมอก็เลยเกิดขึ้นค่ะ หลังจากที่พยาบาลวัดความดัน ซักประวัติแล้ว พยาบาลก็จะบอกคนไข้ว่า “พบเภสัชต่อเลยค่ะ โต๊ะนี้/โต๊ะนั้น” เภสัชกรก็จะทำการซักประวัติการใช้ยาของคนไข้ว่าใช้ยาได้ถูกต้องตามสั่งหรือไม่ และเขียน pharmacist note ลงใน OPD card เพื่อแจ้งหมอทราบ จนกลายเป็นวัฒนธรรมของคลินิกพิเศษโรคเบาหวานที่คนไข้จะต้องนำยาเก่ามาด้วยทุกครั้งเมื่อมาพบหมอและให้เภสัชตรวจการกินยาก่อนทุกครั้ง จนเกิด “ถุงเขียวใบย่อม ต้อมยามาโรงพยาบาล” ขึ้นแลหมอเองก็เริ่มชินกับ note เภสัช ซึ่งเค้าจะหาอ่านทุกครั้งก่อนที่จะ order ยาให้คนไข้ ทีนี้เภสัชก็ไม่ได้นั่งว่างๆ รอคนไข้เดินออกมากจากห้องหมอแล้ว และเพื่อป้องกันไม่ให้ทางเดินของคนไข้ทับกันไปมาก็ได้ย้ายตัวเองไปนั่งข้างๆ พยาบาลค่ะ คือจากโต๊ะพยาบาลก็ขยับมาตรวจการกินยาต่อได้เลย...
หลังจากคนไข้พบหมอแล้วก็จะต้องพบเภสัชรอบสุดท้าย กิจกรรมในการพบเภสัชรอบสุดท้ายก็จะเป็นการทำ prescription analysis และอธิบายการเปลี่ยนแปลงแผนการรักษาให้กับคนไข้ รวมไปถึงปรับจำนวนเม็ดยาให้พอดีกับวันนัดโดยการหักลบจำนวนยาที่จ่ายออกด้วยยาที่เหลืออยู่ที่คนไข้นำมาด้วย คนไข้สมัยแรกๆ ก็ถามนะว่าเมื่อกี้ก็มาทีแล้ว ต้องเจอเภสัชอีกรอบเหรอ แล้วคนไข้คนนั้นก็เกิด DRP เภสัชต้องเดินเข้าไป consult หมอให้ อันนี้ก็ทำให้คนไข้เค้าเข้าใจเองว่าทำไมต้องเจอเภสัชอีกรอบ
ก็คิดว่ามันโอเคนะคะการเจอเภสัช 2 รอบเพราะเราสามารถที่จะอุดรูรั่วได้ และที่สำคัญก็คือทำให้คนไข้ปลอดภัยมากขึ้น คนไข้ปลอดภัยเภสัชก็ดีใจค่ะ แต่ก่อนคนไข้ก็มักจะเรียกพวกเราว่าหมอ แต่ตอนนี้ไม่แล้วค่ะ คนไข้เค้าจะเรียกเราว่าเภสัชเจ้า เภสัชคะ คุณเภสัช...สุดแล้วแต่คนไข้จะเรียก แต่ทุกคนสื่อว่าเราคือคนที่ดูแลเค้าเรื่องยา...
สิ่งที่ทำให้ได้คิดอีกอย่างก็คือ คำพูดของเหล่าพยาบาล และน้องชุดเหลือง เค้าจะพูดจะถามคนไข้ที่เดินมายื่น OPD card ที่เค้าตลอดเลยว่า พบเภสัชรึยัง? เอายามาด้วยรึเปล่า? หรือแม้กระทั่งหมอที่ตรวจเสร็จแล้วก็จะบอกคนไข้ว่า “ออกห้องแล้วเลี้ยวขวาเข้าห้องเภสัชนะ” ดูเถอะ วิชาชีพอื่นเค้ายังให้เกียรติ ยกย่องวิชาชีพเราขนาดนี้ แต่พวกเรากันเองล่ะ เคยเห็นคุณค่าของกันและกันบ้างไม๊ เคยมองด้วยหัวใจออกมาจากห้องที่มีแอร์เย็นๆ รึเปล่า ลองถามตัวเองดูนะคะ...
บรรยายเก่งมาก คิดตาม จนเห็นภาพ ความยุ่งเหยิงแต่เช้าของทุก ๆ วันที่เริ่มต้นทำงาน นะหนูปิ แต่ ... ร่วมกันเหนื่อยกาย แต่ไม่เหนื่อยใจเท่าไรนะ เพราะผู้ป่วยได้รับสิ่งดีๆ ที่เราตั้งใจมอบให้นะ ก็หายเหนื่อยแล้ว ... นะ