1+2+3+4+5+6+7+8+9+10 มีค่าเท่าไร ตอบ 55
1+2+3+…+10 มีค่าเท่าไร ตอบ 55
ใช้สูตร ผลบวก = xป
ต คือจำนวนแรก (จำนวนต้น)
ป คือจำนวนสุดท้าย (จำนวนปลาย)
ผลบวกของเลขเรียงกันจาก 1 ถึง 10
ผลบวก = xป
= x10
= x10
=
= 55
ตอบ ๕๕
1+2+3+4+5+6+7+8+9+10 มีค่าเท่าไร
1. นำจำนวนแรกและจำนวนสุดท้ายบวกกัน 1+10 = 11
2. นำจำนวนสุดท้ายมาคูณ 11 x 10 = 110
3. นำ 2 ไปหาร 110 2 = 55
1+3+5+7+9+11+13+15+17+19 มีค่าเท่าไร
จงหา 1+3+5+…+19 มีค่าเท่าไร
จากโจทย์ ถ้าเราจับคู่การบวกจะได้ 1+19 = 20 / 3+17 = 20 / 5+15 = 20 / 7+13 = 20 / 9+11 = 20
หรือให้พิจารณาว่า มีจำนวนที่นำมาบวกกันมีกี่จำนวน มี 10 จำนวน
สูตรการบวกเลขคี่
แนวคิดที่ 1 การบวกเลขคี่ = จำนวนเทอม x จำนวนเทอม
= 10 x 10
= 100
1. นำ 1 บวกกับจำนวนสุดท้าย คือ 1 + 19 = 20
2. นำ 2 ไปหารผลบวก คือ 20 ¸ 2 = 10
3. เอาผลลัพธ์ที่ได้คูณตัวมันเอง คือ 10 x 10 = 100
7. จงหา 1+3+5+…+59 มีค่าเท่าไร
8. จงหา 1+3+5+…+99 มีค่าเท่าไร
2+4+6+8+10+12+14+16+18+20 มีค่าเท่าไร
สูตรการบวกเลขคู่
แนวคิดที่ 1 การบวกเลขคู่ = จำนวนเทอม x (จำนวนเทอม + 1)
= 10 x ( 10 + 1 )
= 10 x 11
= 110
ตอบ ๑๑๐
แนวคิดที่ 2
10. จงหา 2+4+6+…+60 มีค่าเท่าไร
11. จงหา 2+4+6+…+100 มีค่าเท่าไร
จงหาผลคูณ 26 x 9 มีค่าเท่าไร
จะได้ 26 x 9 = (26 x 10 ) – (26 x1)
= 260 - 26
= 234
ตอบ ๒๓๔
จงหาผลคูณ 296 x 99 มีค่าเท่าไร
จะได้ 296 x 99 = (296 x 100 ) – (296 x1)
= 29600 - 296
= 29304
ตอบ ๒๙,๓๐๔
จงหาผลคูณ 473 x 999 มีค่าเท่าไร
จะได้ 473 x 999 = (473 x 1000 ) – (473 x1)
= 473000 - 473
= 472,527
12. จงหาผลคูณ 252 x 99 มีค่าเท่าไร
13. จงหาผลคูณ 462 x 999 มีค่าเท่าไร
14. จงหาผลคูณ 698 x 9999 มีค่าเท่าไร
( 48 x 57 ) + ( 48 x 43 ) มีค่าเท่าไร
แนวคิด ให้นำตัวเลขที่เหมือนกันคูณด้วยผลบวกของเลขที่ต่างกัน ดังนี้
( 48 x 57 ) + ( 48 x 43 ) มีค่าเท่าไร
= 48 x ( 57 + 43 )
= 48 x 100
= 4,800
ตอบ ๔,๘๐๐
( 569 x 264 ) - ( 569 x 164 ) มีค่าเท่าไร
แนวคิด ให้นำตัวเลขที่เหมือนกันคูณด้วยผลลบของเลขที่ต่างกัน ดังนี้
( 569 x 264 ) - ( 569 x 164 ) มีค่าเท่าไร
= 569 x ( 264 – 164 )
= 569 x 100
= 56,900
15. ( 471 x 352 ) + ( 471 x 648 ) มีค่าเท่าไร
16. ( 62 x 3694 ) + ( 38 x 3694 ) มีค่าเท่าไร
17. ( 725 x 205 ) + ( 275 x 205 ) มีค่าเท่าไร
18. (39 x 258 ) - ( 39 x 158 ) มีค่าเท่าไร
19. (744 x 566 ) - ( 744 x 466 ) มีค่าเท่าไร
20. ( 672 x 195 ) - ( 472 x 195 )
จงหา 52 3 x 9 มีค่าเท่าไร
แนวคิด ถ้าเราทำตามขั้นตอน จะหารไม่ลงตัว ทำให้ยุ่งยากในการหาคำตอบ ให้เขียนใหม่ดังนี้
52 3 x 9 =
= 52 x 3
= 156
ตอบ ๑๕๖
21. จงหา 48 7 x 49 มีค่าเท่าไร
22. จงหา 249 20 x 60 มีค่าเท่าไร
23. จงหา 477 17 x 34 มีค่าเท่าไร
24. จงหา 503 29 x 58 มีค่าเท่าไร
25. จงหา 1,305 16 x 48 มีค่าเท่าไร
1. 210 2. 1,275 3. 3,240 4. 5,050 5. 20,100
6. 225 7. 900 8. 2,500 9. 420 10. 930
11. 2,550 12. 24,948 13. 461,538 14. 6,979,302 15. 471,000
16. 369,400 17. 205,000 18. 3,900 19. 74,400 20. 39,000
21. 336 22. 747 23. 954 24. 1,006 25. 3,915
จำนวนใด ๆก็ตาม จะหารด้วย 3 ได้ลงตัวหรือไม่ ให้เอาเลขโดดมารวมกัน ถ้ารวมกันแล้ว 3 หารได้ลงตัว ก็ถือว่าจำนวนนั้นหารด้วย 3 ได้ลงตัว เช่น
264 3 ได้ลงตัว เพราะ 2+6+4 = 12 ซึ่ง 3 หาร 12 ลงตัว
3465 3 ได้ลงตัว เพราะ 3+4+6+5 = 18 ซึ่ง 3 หาร 18 ลงตัว
476 3 ไม่ลงตัว เพราะ 4+7+6 = 17 ซึ่ง 3 หาร 17 ไม่ลงตัว
การหารด้วย 4
จำนวนใด ๆ จะหารด้วย 4 ลงตัวหรือไม่ ให้ดูเลขสองหลักสุดท้าย ถ้าหารด้วย 4 ลงตัว ถือว่า 4 หารได้ลงตัว เช่น
224 4 ได้ลงตัว
135 4 ไม่ลงตัว
114 4 ได้ลงตัว
1728 4 ได้ลงตัว
65,218 4 ไม่ลงตัว
จำนวนใด ๆ ก็ตาม จะหารด้วย 6 ได้ลงตัว ถ้าเป็นเลขคู่ และผลบวกของเลขโดดแต่ละตัวของจำนวนนั้น หารได้ด้วย 3 เช่น
189 6 ได้ลงตัว เพราะ 1+8+6 = 15
166 6 ไม่ลงตัว เพราะ 2+6+6 = 14
การหารด้วย 9
จำนวนใด ๆ ก็ตาม จะหารด้วย 9 ได้ลงตัว ถ้าผลบวกของเลขโดดแต่ละตัวของจำนวนนั้นหารได้ด้วย 9 เช่น
132 9 ไม่ลงตัว เพราะ 1+3+2 = 6
109 9 ได้ลงตัว เพราะ 1+0+8 = 9
387 9 ได้ลงตัว เพราะ 3+8+7 = 18
5 + 9 = 14 ตัวตั้ง + ตัวบวก = ผลบวก
14 – 5 = 9 ผลบวก - ตัวตั้ง = ตัวบวก
14 - 9 = 5 ผลบวก – ตัวลบ = ตัวตั้ง
45 ตรวจคำตอบ 45 22 +
23 23 23
22 22 45
ดังนั้นในการลบเลขใดอาจตรวจสอบได้ โดยนำผลลบไปบวกตัวลบ ได้เท่ากับตัวตั้ง แสดงว่าผลลบถูกต้อง
6 x 7 = 42 ตัวตั้ง x ตัวคูณ = ผลคูณ
42 6 = 7 ผลคูณ ตัวตั้ง = ตัวคูณ
42 7 = 6 ผลคูณ ตัวคูณ = ตัวตั้ง
45 6 = 7 เศษ 3
ตรวจคำตอบได้โดยนำ ( ผลหาร x ตัวหาร ) + เศษ = ตัวตั้ง
( 7 x 6 ) + 3 = 45
จำนวนนับ หมายถึง จำนวนที่ใช้นับสิ่งต่าง ๆ เช่น 1 , 2, 3, 4, …
ข้อสังเกต จำนวนนับที่น้อยที่สุดคือ 1
0 ( ศูนย์ ) ไม่ใช่จำนวนนับ
ตัวประกอบของจำนวนนับ คือจำนวนนับที่นำไปหารจำนวนนับนั้นได้ลงตัว เช่น
2 เป็นตัวประกอบของ 6 เพราะนำ 2 ไปหาร 6 ได้ลงตัว
5 เป็นตัวประกอบของ 10 เพราะนำ 5 ไปหาร 10 ได้ลงตัว
9 เป็นตัวประกอบของ 18 เพราะนำ 9 ไปหาร 18 ได้ลงตัว
การหาตัวประกอบ จำนวนนับแต่ละจำนวนอาจมีตัวประกอบหลายตัว เช่น
4 มีตัวประกอบ 3 ตัว คือ 1, 2 และ 4 เพราะทั้ง 1, 2 และ 4 ต่างก็หาร 4 ได้ลงตัว
6 มีตัวประกอบ 4 ตัว คือ 1, 2, 3 และ 6 เพราะทั้ง 1, 2, 3 และ 6 ต่างก็หาร 6 ได้ลงตัว
10 มีตัวประกอบ 4 ตัว คือ 1, 2, 5 และ 10 เพราะทั้ง 1, 2, 5 และ 10 ต่างก็หาร 10
ได้ลงตัว
จำนวนเฉพาะ
จำนวนเฉพาะ หมายถึง จำนวนนับที่มีตัวประกอบเพียง 2 ตัว คือ 1 และตัวมันเอง เช่น
2 เป็น จำนวนเฉพาะ เพราะมีตัวประกอบ 2 ตัว คือ 1 และ 2
5 เป็น จำนวนเฉพาะ เพราะมีตัวประกอบ 2 ตัวคือ 1 และ 5
6 ไม่เป็น จำนวนเฉพาะ เพราะมีตัวประกอบมากกว่า 2 ตัว คือ 1, 2, 3 และ 6
9 ไม่เป็น จำนวนเฉพาะ เพราะมีตัวประกอบมากกว่า 2 ตัว คือ 1, 3 และ 9
ข้อสังเกต 1 ไม่เป็น จำนวนเฉพาะ เพราะมีตัวประกอบเพียงตัวเดียว คือ 1
จำนวนนับ 1 – 100 มีจำนวนเฉพาะอยู่ 25 จำนวน (ที่พิมพ์ตัวหนา) ดังนี้
1 |
2 |
3 |
4 |
5 |
6 |
7 |
8 |
9 |
10 |
11 |
12 |
13 |
14 |
15 |
16 |
17 |
18 |
19 |
20 |
21 |
22 |
23 |
24 |
25 |
26 |
27 |
28 |
29 |
30 |
31 |
32 |
33 |
34 |
35 |
36 |
37 |
38 |
39 |
40 |
41 |
42 |
43 |
44 |
45 |
46 |
47 |
48 |
49 |
50 |
51 |
52 |
53 |
54 |
55 |
56 |
57 |
58 |
59 |
60 |
61 |
62 |
63 |
64 |
65 |
66 |
67 |
68 |
69 |
70 |
71 |
72 |
73 |
74 |
75 |
76 |
77 |
78 |
79 |
80 |
81 |
82 |
83 |
84 |
85 |
86 |
87 |
88 |
89 |
90 |
91 |
92 |
93 |
94 |
95 |
96 |
97 |
98 |
99 |
100 |
การหา ห.ร.ม. ( ตัวหารร่วมมาก )
ตัวหารร่วมมาก ( ห.ร.ม. ) คือจำนวนที่มีค่ามากที่สุดที่ไปหารจำนวนอื่น ๆ ตั้งแต่สองจำนวนขึ้นไปได้ลงตัว
จะมาหา ห.ร.ม. แล้วเลือกจำนวนที่เป็นตัวประกอบร่วมทั้งหมดมา และนำตัวประกอบร่วมที่มีค่ามากที่สุดเป็น ห.ร.ม.
ตัวอย่าง จงหา ห.ร.ม. ของ 8 และ 12
วิธีทำ จำนวนนับที่หาร 8 ได้ลงตัวมี 1, 2, 4, 8
จำนวนนับที่หาร 12 ได้ลงตัวมี 1, 2, 3, 4, 6, 12
ตัวหารร่วมของ 8 และ 12 คือ 1, 2 และ 4
ห.ร.ม. ของ 8 และ 12 คือ 4
ตอบ ๔
จงหา ห.ร.ม. ของ 18 , 27 และ 45
วิธีทำ จำนวนนับที่หาร 18 ได้ลงตัวมี 1, 2, 3, 6, 9, 18
จำนวนนับที่หาร 27 ได้ลงตัวมี 1, 3, 9, 27
จำนวนนับที่หาร 45 ได้ลงตัวมี 1, 3, 5, 9, 45
ตัวหารร่วมของ 18, 27 และ 45 คือ 1, 3 และ 9
ห.ร.ม. ของ 18, 27 และ 45 คือ 9
ตอบ ๙
ขั้นที่ 1 นำจำนวนทุกจำนวนมาแยกตัวประกอบ ให้ได้ตัวประกอบเฉพาะทั้งหมด แล้วเขียนอยู่ในรูปของการคูณ
ขั้นที่ 2 เลือกตัวประกอบของแต่ละจำนวนที่เหมือนกัน หรือซ้ำกันทุกจำนวน ขีดวงไว้เป็นชุด ๆ ( ถ้าซ้ำกันบางจำนวนไม่เอา ) แล้วดึงออกมาวงละหนึ่งจำนวน
ขั้นที่ 3 นำจำนวนที่ดึงออกมาจากขั้นที่ 2 มาคูณกัน จะได้เป็น ห.ร.ม.
ตัวอย่าง จงหา ห.ร.ม. ของ 18 , 27 และ 45
18 = 2 x 3 x 3
27 = 3 x 3 x 3
45 = 3 x 3 x 5
ห.ร.ม. ของ 18, 27 และ 45 คือ 3 x 3 = 9
ตอบ ๙
จงหา ห.ร.ม. ของ 20, 30 และ 40
20 = 2 x 2 x 5
30 = 2 x 3 x 5
40 = 2 x 2 x 2 x 5
ห.ร.ม. ของ 20, 30 และ 40 คือ 2 x 5 = 10
ตอบ ๑๐
3.1 การหารสั้น
ขั้นที่ 1 ให้นำจำนวนทุกจำนวนไปเขียนไว้ในเครื่องหมายหาร
ขั้นที่ 2 หาจำนวนเฉพาะที่หารจำนวนเหล่านั้นทุกจำนวนได้ลงตัว ( ถ้าจำนวนที่นำมาหารจำนวนเหล่านั้นไม่ได้ทุกจำนวน จะไม่นำมาเป็นตัวหาร )
ขั้นที่ 3 พิจารณาดูผลลัพธ์ของการหารที่ได้ว่า ยังคงมีจำนวนเฉพาะมาหารผลหารที่ได้ลงตัวทุกจำนวนอีกหรือไม่ ถ้ามีนำมาหารต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหารต่อไปไม่ได้
ขั้นที่ 4 นำจำนวนเฉพาะที่เป็นตัวหารทุกจำนวน มาคูณกัน คำตอบที่ได้ เป็น ห.ร.ม.
ตัวอย่าง จงหา ห.ร.ม. ของ 20, 30 และ 40
2 ) 20 , 30 , 40
5 ) 10 , 15 , 20
2 , 3 , 4
ห.ร.ม. ของ ของ 20, 30 และ 40 คือ 2 x 5 = 10
ตอบ ๑๐
จงหา ห.ร.ม. ของ 24 , 48 และ 126
2 ) 24 , 48 , 126
3 ) 12 , 24 , 63
4 , 8 , 21
ห.ร.ม. ของ 24 , 48 และ 126 คือ 2 x 3 = 6
ตอบ ๖
3.2 หาโดยวิธีตั้งหาร ( เป็นวิธีที่สะดวก โดยเอาตัวน้อยหารตัวมาก เหลือเศษ เอาเศษเป็นตัวหารต่อไป ทำจนหารลงตัว ตัวหารที่น้อยที่สุดเป็น ห.ร.ม. ) ( ใช้ในกรณีที่ตัวเลขมีค่ามาก)
ตัวอย่าง จงหา ห.ร.ม. ของ 506 และ 1863
วิธีที่ 1 506 ) 1863 ( 3
1518
345 ) 506 ( 1
345
161 ) 345 ( 2
322
23 ) 161 ( 7
161
0
ตอบ ห.ร.ม. ของ 506 และ 1863 คือ ๒๓
วิธีที่ 2
1 |
506 |
1863 |
3 |
|
345 |
1518 |
|
7 |
161 |
345 |
2 |
|
161 |
322 |
|
|
0 |
23 |
|
ตอบ ห.ร.ม. ของ 506 และ 1863 คือ ๒๓
หมายเหตุ ถ้ามีจำนวนมากกว่า 2 จำนวนขึ้นไป ให้หา ห.ร.ม. ของสองจำนวนก่อน แล้วนำไปหาตัวที่สามอีก จนหารลงตัวอันสุดท้าย คือ ห.ร.ม. หรือ อาจเอาสองจำนวนมาลบกันก่อน โดยจับคู่ลบกัน แล้วเอาผลลัพธ์มาหา ห.ร.ม. โดยวิธีตั้งหาร
วิธีทำ 2261 - 1995 = 266
2394 - 2261 = 133
2 |
266 |
133 |
|
|
266 |
|
|
|
0 |
|
|
ตอบ ห.ร.ม. ของ 1995 2261 และ 2394 คือ ๑๓๓
จงหา จำนวนเลขที่มากที่สุดที่หาร 46 และ 58 แล้วเหลือเศษ 10
วิธีทำ ก่อนหา ห.ร.ม. ให้นำเศษ มาลบออกจากจำนวนนั้นก่อน
21 - 10 = 36
58 - 10 = 48
นำ 36 และ 48 มาหา ห.ร.ม. ได้ 12 ซึ่งเป็นคำตอบ
ตอบ ๑๒
จงหา จำนวนที่มากที่สุดที่หาร 11,296 และ 13,528 แล้วเหลือเศษ 11 และ 23 ตามลำดับ
วิธีทำ ก่อนหา ห.ร.ม. ให้นำเศษ มาลบออกจากจำนวนนั้นก่อน
11,296 - 11 = 11,285
13,528 - 23 = 13,505
นำ 11,285 และ 13,505 มาหา ห.ร.ม. ได้ 185 ซึ่งเป็นคำตอบ
ใช้ในการทอนเศษส่วนให้เป็นเศษส่วนอย่างต่ำ โดยการนำเศษและส่วนมาหา ห.ร.ม. จะหาโดยวิธีใดก็ได้ แล้วนำ ห.ร.ม. ที่ได้ไปหารทั้งเศษและส่วน ผลลัพธ์ที่ได้ จะเป็นเศษส่วนอย่างต่ำ
ตัวอย่าง จงทำ ให้เป็นเศษส่วนอย่างต่ำ
หา ห.ร.ม. ของ 105 และ 180 ได้ 15
นำ ห.ร.ม. ที่หาได้ คือ 15 ไปหารทั้งเศษและส่วน จะได้ =
การหา ค.ร.น. ( ตัวคูณร่วมน้อย )
ค.ร.น. หมายถึง ตัวคูณร่วมที่มีค่าน้อยที่สุดที่จำนวนนับเหล่านั้นมาหารได้ลงตัว
ตัวอย่าง จงหา ค.ร.น. ของ 6 และ 12
วิธีทำ จำนวนนับที่มี 6 เป็นตัวประกอบ คือ 6,12,18,24,30,36,…
จำนวนนับที่มี 12 เป็นตัวประกอบ คือ 12, 24,36,48,…
ตัวคูณร่วมของ 6 และ 12 คือ 12, 24,36,…
ค.ร.น. ของ 6 และ 12 คือ 12
ตัวอย่าง จงหา ค.ร.น. ของ 3, 4 และ 6
วิธีทำ จำนวนนับที่มี 3 เป็นตัวประกอบ คือ 3,6,9,12,15,18,21,24,27,30,33,36,…
จำนวนนับที่มี 4 เป็นตัวประกอบ คือ 4,8,12,16,20,24,28,32,36,…
จำนวนนับที่มี 6 เป็นตัวประกอบ คือ 6,12,18,24,30,36,42,…
ตัวคูณร่วมของ 3,4 และ 6 คือ 12, 24,36,…
ค.ร.น. ของ 3,4 และ 6 คือ 12
ตัวอย่าง จงหา ค.ร.น. ของ 18 และ 27
วิธีทำ 18 = 2 x 3 x 3
27 = 3 x 3 x 3
ค.ร.น. ของ 18 และ 27 คือ 2 x 3 x3 x 3 = 54
ตัวอย่าง จงหา ค.ร.น. ของ 12 , 18 และ 24
วิธีทำ 12 = 2 x 2 x 3
18 = 2 x 3 x 3
24 = 2 x 2 x 2 x 3
ค.ร.น. ของ 12 , 18 และ 24 คือ 2x 2 x 2 x 3 x 3 = 72
3. การหา ค.ร.น. โดยวิธีตั้งหาร มีวิธีการดังนี้
ตัวอย่าง จงหา ค.ร.น. ของ 12 , 18 และ 24
วิธีทำ 2 ) 12 , 18 , 24
2 ) 6 , 9 , 12
2 ) 2 , 3 , 4
1 , 3 , 2
ค.ร.น. ของ 12 , 18 และ 24 คือ 2 x 3 x 2 x 1 x3 x 2 = 72
ตัวอย่าง จงหา ค.ร.น. ของ 10 , 20 และ 40
วิธีทำ 2 )10 , 20 , 40
5 ) 5 , 10 , 20
2 ) 1 , 2 , 4
1 , 1 , 2
ค.ร.น. ของ 10 , 20 และ 40 คือ 2 x 5 x 2 x 2 = 40
การนำการหา ค.ร.น. ไปใช้ประโยชน์
ใช้ในการบวก ลบเศษส่วน ที่มีตัวส่วนไม่เท่ากัน โดยการทำส่วนให้เท่ากัน คือทำส่วนให้เท่ากับ ค.ร.น. แล้วจึงนำเศษที่ม
ขอบคุณในเทคนิคการสอนที่ใหม่ๆ อยากให้นำมาเสนอแนะบ่อยๆ ครับ
ขอบคุณนะคะ