23 พฤศจิกายน 2553 มีคนดี มีแผนดี มียุทธศาสตร์ดี มีกิจกรรมต่อเนื่องดี โดยที่พอทำงานไปแล้วมีอุดมการณ์ร่วมกัน มีคน(สนับสนุนได้) มาเห็น และร่วมกันแก้ปัญหาให้ถูกจุด จั่วหัวไว้อย่างนี้ ซึ่งคนทำงานแพทย์แผนไทย ได้แก่ผม เจี๊ยบ ปุ๊ก ได้มีโอกาสไปร่วมดูงานป่าห้วยไร่บูรพา ตำบลอูบมุง อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานีเราเองนี่แหละ ซี่งได้รับรางวัลระดับประเ?สในโครงการกล้ายิ้มของกรมป่าไม้ ทั้งนี้จากการที่ได้มีการพูดคุยกับคนทำงานอาสาพิทักษ์ป่าคำหัวแฮด (มีผญ.บุญไทย , พี่วีรพันธ์ เป็นแกนหลัก) ซึ่งสนใจจะไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนทำงานทางห้วยไร่บูรพา งานนี้เลยได้เกิด ทางเราได้ประสานกับพี่อภิชาติ และหน.สมเด็จ ซึ่งคุ้นเคยกับพื้นที่เป็นอย่างดี และเป็นพี่เลี้ยงให้ทางคำหัวแฮดด้วยก็ยิ่งเข้าใจกันได้ง่ายขึ้น ทีมงานที่เราได้ไปเจอกันวันนั้น นอกจากทีมคำหัวแฮด แล้ว ยังมีทีมที่มาจากจอมศรี อำเภอเพ็ญ (พ่อบุญไทย พี่คำสิงห์ พี่จำรัส และน้องนักวิชาการจากจอมศรี) ทีมจากบ้านตลิ่งชัน ตำบลหินโงม (คณะเจ้าหน้าที่นำโดยพี่ร่าเริง และเครือข่ายคนทำงานที่บ้านตลิ่งชัน) และพี่อภิชาตยังได้ชักชวน กลุ่มภูพานน้อย ถ้ำสิงห์ จากอบต.ขอนยูง อำภอกุดจับ มีร่วมขบวนกันด้วย โดยพี่กล้าณรงค์ หัวหน้าสถานีอนามัย ได้นำคณะหมอนวดมาเตรียมอาหารให้พวกเราด้วย
เราไปตั้งหลักกันที่ในพื้นที่ป่าห้วยไร่บูรพา ซึ่งพื้นที่นำโดย พ่อหมุน (รองนายก อบต.อูบมุง ซึ่งเป็นหนึ่งในคนทำงานอนุรักษ์มาก่อน) , พ่อไสว และพ่อประธานป่า หมู่10 เปิดเวทีแนะนำตัวกัน โดยแต่ละพื้นที่ได้เล่าให้ฟัง ได้แก่ กลุ่มภูพานน้อย ถ้ำสิงห์ พ่อตัวแทนจากอบต.ขอนยูง ได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อปี 2546 กรมศิลปากรได้มาดูถ้ำสิงห์ และได้ให้งบประมาณมาทำแนวกันไฟ และได้มีการสนับสนุนจากหน่วยอนุรักษ์ในพื้นที่ในการทำผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เช่นยาหม่องหัวเข่าคลอน ปัจจุบันมีพื้นที่กว่า 7,500 ไร่ และเคยได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว พื้นที่ป่าตลิ่งชัน ผญบ.ม.4 เล่าให้ฟังว่าจากการที่หมอพาสำรวจป่าแล้วนั้นมีพื้นที่ 75 ไร่ แม้จะเล็กแต่ก็มีคุณค่าทางจิตใจ และมีแผนพัฒนากลุ่มซึ่งตอนนี้ได้รับงบประมาณจาก อบต.แล้ว พื้นที่ป่าชุมชนตำบลจอมศรี อ.เพ็ญ ประธานป่าชุมชน ปี่จำรัส บอกว่ามีพื้นที่ประมาณ 176 ไร่ ทั้งนี้ได้เคยขอเข้าโครงการลูกโลกสีเขียว แต่ไม่ผ่านเนื่องจากกลุ่มยังไม่ได้รับการเชื่อมโยงกับทาง อบต. และกลุ่มจากโคกคำหัวแฮด ทุ่งฝน ผญ.ไทย เล่าว่ามีพื้นที่กว่า 1,800 ไร่ มีการร่วมรณรงค์อนุรักษ์โดยเครือข่ายอาสาพิทักษ์ป่า และได้รับการสนับสนุนจากกรมป่าไม้ และสาธารณสุข ในการพัฒนาโคกคำหัวแฮด รวททั้งการมีรายได้จากการหาของป่า เห็ด ในพื้นที่ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนทำงานอาสาเห็นประโยชน์ของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตินี้
ในพื้นที่ป่าห้วยไร่บูรพา พ่อไสวเล่าว่าครอบคลุมพื้นที่ ม.4 และ ม.10 ซึ่งแรก ๆ มีพื้นที่ 150 ไร่ คนทำงานได้ขยายผลออกเป็น 1500 ไร่ การที่มาถึงจุดนี้ได้ เพราะเห็นป่ามาตั้งแต่เด็ก จนอายุ 13-14 ปี มาเลี้ยงสัตว์ วัวควายบนพื้นที่แห่งนี้ก็อุดมสมบูรณ์ พอปี 2520 ก็ได้มาทำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ จนกระทั่งปี 2537 ได้ร่วมอบรมกับ FBT ปตท. และเพื่อน ๆ ที่ทำงานอาสาด้วยกัน เช่นพ่อหมุน เห็นว่าพื้นที่ป่าเบาบางลงไปมาก ก็มีใจอาสามาทำงาน แรก ๆ รวมกลุ่มกัน 3-4 คน ปี 2507 มีการสัมปทานป่า ปี 2511-12 มีระเบิดลง มีการหักล้างถางพงขึ้นมาตั้งบ้าน 5 หมู่บ้าน พอปี 2529-2530 ทางจังหวัดมาขอให้ลง ก็ทำงานอาสาพิทักษ์เรื่อยมา จนกองทัพภาค 2 ได้มาเสนอขอธงพิทักษ์ป่า จากสมเด็จพระราชินี ให้แก่กลุ่ม (รสทป) พอปี 2547 เห็นว่า “ทำแต่เฮา การประสานงานจะยาก” ก็เลยส่งคนในเครือข่ายสมัครเป็นตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (มีแผนการณ์ดี) ในส่วนของปัญหาอุปสรรคก็จะเป็นในเรื่องของการมีข้อขัดแย้งกับผู้บุกรุกแผ้วถาง และไม่ได้คิดเรื่องการประกวดแต่ทาป่าได้เล็งเห็นความสำคัญของเครือข่าย ป่าที่นี่เป็นป่าเบญจพรรณ 3 ส่วน ป่าดิบแล้ง 5 ส่วน ป่าเต็งรัง 5 ส่วน ทุกปีจะมีกิจกรรมอบรมการดับไฟป่า 1 ครั้ง นอกจากนี้จะมีกิจกรรมร่วมกันอยู่เรื่อย ๆ ไม่ขาด
ทางพ่อหมุน ได้เล่าให้ฟังว่า แต่อดีตตนเองก็ยิงนกตกปลา จนปี 2543 ได้ร่วมเป็น รสทป. ปี 2544-2545 หารือกันว่าจะได้งบ อบต. มีแผนจะขยายป่าชุมชนให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน ไม่ใช่แค่มีกรรมการป่า หน่วยงานรัฐและเอกชนควรจะได้เข้ามา และตอนนี้มีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็น “วุ้นหมาน้อยลอยแก้ว”
พ่อประธานป่า ม.10 ก็เข้ามาตอนปี 2541 สมัยเริ่มปลูกป่าถาวร เป็นป่าต้นน้ำห้วยหลวง มีการอบรมปีละ 2 ครั้ง และมีการกำหนดหลักเกณฑ์การหาของป่า เช่นไม้ล้มหมอนนอนไพรให้ตัด 50 ซม.เป็นต้น
สิ่งที่เราได้จากการมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้คราวนี้ก็เหมือนที่ได้จั่วหัวไว้นั่นเอง คือมีคนดี มีแผนดี มียุทธศาสตร์ดี (ส่งพ่อหมุนเข้าร่วมเป็นผู้บริหาร อปท.) มีกิจกรรมต่อเนื่องดี โดยที่พอทำงานไปแล้วมีอุดมการณ์ร่วมกัน มีคน(สนับสนุนได้) มาเห็น และร่วมกันแก้ปัญหาให้ถูกจุด
และได้ขอให้พ่อไสว ลองสำรวจพื้นที่คร่าว ๆ แล้วจัดทำเป็นแผนที่ทางเดินศึกษาสมุนไพรพื้นบ้านในพื้นที่
ไม่มีความเห็น