การต่อยอดความรู้
มีคนจัดประเภทความรู้ไว้ สองลักษณะ ได้แก่ ความรู้ฝังลึก(tacit knowledge) กับความรู้ประจักษ์(explicit knowledge) ประเภทแรกเป็นความรู้ที่ใช้กันมากในชีวิตประจำวันและมักเป็นการใช้โดยไม่รู้ตัว เช่น ถ้าถามคนว่ายน้ำเป็น ว่าหัดว่ายอย่างไร อาจได้คำตอบว่า ก็แกว่งแขวน กระทุ้งเท้าไปเรื่อยๆ บางคนอาจแสดงท่าทางให้ดู แต่น้อยคนจะสามารถบรรยายอย่างเป็นขั้นเป็นตอนว่าควรตั้งต้นอย่างไร การว่ายได้เร็วช้าขึ้นอยู่กับอะไร ฯลฯ
การถ่ายทอดการปฎิบัติให้เป็นทฤษฏี เป็นรูปแบบหนึ่งของการต่อยอดความรู้ และทำให้การสืบสาน พัฒนาความรู้เป็นไปอย่างกว้างขวาง รวดเร็ว วงการวิทยาศาสตร์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วได้ก็เพราะอาศัยวัฒนธรรมการต่อยอดความรู้ลักษณะนี้
การจัดประเภทความรู้อีกลักษณะ จำแนกความรู้เป็นเชิงคุณภาพ กับเชิงปริมาณ ท่านไอน์สไตน์ เคยมีกล่าวเปรียบเปรยความรู้ทั้งสองลักษณะไว้ ว่า “ เราอาจใช้วิชาฟิสิกส์วิเคราะห์หรือพรรณาลักษณะของคลื่นให้ละเอียดลึกซึ้งได้มากมาย แต่การทำเช่นนั้น ย่อมไม่มีความหมาย(ทางดนตรี)ใดๆเมื่อไปใช้กับบทเพลงของบีโธเว่น”
บางคนอาจตีความหมายคำกล่าวนี้ว่า วิชาฟิสิกส์ซึ่งเน้นการสร้างความรู้เชิงปริมาณ เป็นคนละเรื่องกับ วิชาดนตรีซึ่งเป็นเรื่องของความรู้เชิงคุณภาพ เหมือนน้ำกับน้ำมัน ย่อมเข้ากันไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของยามาฮ่าในอุตสาหกรรมเครื่องดนตรี ชวนให้ต้องคิดในอีกมุมหนึ่ง ก่อนยามาฮ่าจะประสบความเร็จ เปียโนนับเป็นเครื่องดนตรีสำหรับคนส่วนน้อยที่เล่นเปียโนเป็น(ซึ่งต้องผ่านการฝึกฝนยาวนาน) สำหรับคนส่วนใหญ่เปียโนเป็นได้อย่างเก่งเพียงเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้านชิ้นใหญ่
ด้วยวิธีคิดนอกกรอบ ยามาฮ่ามองเห็นความเป็นไปได้ที่จะทำให้เปียโนเป็นเครื่องดนตรีสำหรับคนส่วนใหญ่ จึงลงมือค้นคว้าวิจัยโดยอาศัยความรู้เกี่ยวกับเสียงในวิชาฟิสิกส์ จนสามารถพัฒนาอุปกรณ์อีเลคทรอนิค(Disklavier™)ช่วยให้การเล่นเปียโนง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก โดยการบันทึกเสียงขณะเล่น แล้วสะท้อนกลับให้ผู้ฝึกได้ยิน รวมทั้งสามารถบันทึกและเล่นเสียงเปียโนของมืออาชีพ ให้เลียนแบบ ความรู้ใหม่ซึ่งอยู่เบื้องหลังDisklavier™ ได้กลายเป็นต้นแบบให้กับการพัฒนาเปียโนในปัจจุบันและเปิดศักราชใหม่ของการเรียนเล่นเปียโนอย่างแพร่หลายกว่ายุคก่อนๆ
เช่นเดียวกัน walkman ของโซนี่ ที่วิวัฒนาการมาเป็น iPod ของแอปเปิล ก็เป็นตัวอย่างเน้นย้ำคุณค่าของการบูรณาการสรรพศาสตร์
ถ้าวงการพัฒนาสุขภาพชุมชน เปิดใจกว้างและเพิ่มความเพียรที่จะบูรณาการสรรพศาสตร์ การตั้งต้นจากความรู้เชิงคุณภาพ ก็อาจได้รับการพัฒนาต่อยอดให้เป็นความรู้เชิงปริมาณได้ดังตัวอย่างในรูป ในทางกลับกันการตั้งต้นจากความรู้เชิงปริมาณก็อาจต่อยอดด้วยความรู้เชิงคุณภาพ กลับไปกลับมาเป็นวงจรหมุนเวียนต่อเนื่องไม่รู้จบ
หัวใจสำคัญประการหนึ่ง อาจได้แก่การเตรียมความพร้อมที่จะคิดใหม่ ทำใหม่อย่างแตกต่าง เหมือนกับที่ Sir Alexander Flaming ได้แสดงแบบอย่างของการคิดแบบมองต่างมุมจึงพลิกผลการทดลองเลี้ยงเชื้อแบคทีเรียอันล้มเหลวให้กลายเป็นการค้นพบเพนนิซิลิน ...ปฏิชีวินะขนานแรกของโลก สมดังวจีของหลุยส์ พาสเตอร์ที่กล่าวไว้ ในทำนองว่า “Opportunity only favors prepared mind”
ไม่มีความเห็น