ในการนมัสการองค์หลวงพ่อเพชรทุกครั้ง จะต้องกล่าวคำบูชาองค์หลวงพ่อเพชรว่า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (กล่าว 3 ครั้ง) และต่อด้วย
“กาเยนะ วาจายะ
เจตะสา วา วะชิรัง นามะ
ปะฏิมัง อิทธิปาฏิหาริยะกะรัง พุทธะรูปัง
อะหัง วันทามิ สัพพะโส สะทา โสตถี
ภะวันตุ เม”
ข้าพเจ้าขอนมัสการองค์หลวงพ่อเพชร พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ด้วยกาย วาจา และใจ ขอความสุข ความเจริญ จงมีแก่ข้าพเจ้าตลอดทุกเมื่อ เทอญแล้วขอพรอันประเสริฐตามที่ปรารถนาในสิ่งที่ดีงามเพื่อความสงบสุขของชีวิตและครอบครัว สาธุ สาธุ สาธุ
แผ่นป้ายแสดงคำบูชาองค์หลวงพ่อเพชร
ที่มา
: (โดยสุเทพ สอนทิม)
3.
พุทธลักษณะของหลวงพ่อเพชร
หลวงพ่อเพชรเป็นพระพุทธรูปที่ประชาชนมีความเลื่อมใสศรัทธามากองค์หนึ่งของประเทศไทย มีพุทธลักษณะที่งดงาม มีความวิจิตรบรรจงในการสร้างโดยนักวิชาการของกรมศิลปากรได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนรุ่นแรก
หล่อด้วยโลหะทองสัมฤทธิ์ ปางมารวิชัยขัดสมาธิเพชร
ชายสังฆาฏิหยัก
เป็นเขี้ยวตะขาบสั้นเหนือพระอุระ เกตุบัวตูม ขนาดหน้าตักกว้าง 2 ศอก 1 คืบ 6 นิ้ว (1.40 เมตร) สูง 3 ศอก 3 นิ้ว (1.60 เมตร) ประทับนั่งบนฐานดอกบัวบานหงายรองรับ ต่อจากฐานโลหะเป็นแท่นชุกชี หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งคือฐานชุกชี มีลวดลายปิดทองประดับกระจก
พุทธลักษณะของหลวงพ่อเพชร
พระพุทธรูปสมัยเชียงแสน
ที่มา :
(โดยสุเทพ สอนทิม)
จากพุทธลักษณะของหลวงพ่อเพชรที่กล่าวมาข้างต้น สามารถนำมาอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจถึงประวัติของการสร้างพระพุทธรูปในยุคต่าง ๆ และปางของพระพุทธรูปได้ดังนี้
ปางพระพุทธรูป
ปางพระพุทธรูป คือ ลักษณะของรูปสมมติของพระพุทธเจ้าในอิริยาบถ (ท่าทาง) ต่างๆ ซึ่งสร้างขึ้นตามความเชื่อในพุทธประวัติ จากเหตุการณ์ที่สำคัญบางเหตุการณ์ นับตั้งแต่ ประสูติ ตรัสรู้ จนถึงปรินิพพาน ในสมัยโบราณเริ่มมีการสร้างพระพุทธรูปไว้สักการะบูชาคือเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 ล่วงไปเล็กน้อย เป็นฝีมือของช่างชาวแคว้นคันธาระ ซึ่งอยู่ในประเทศปากีสถานและอัฟกานิสถานปัจจุบัน ต่อมาก็เป็นฝีมือช่างชาวเมืองมธุรา และช่างชาวเมืองอมรวดี ซึ่งอยู่ภาคใต้ของอินเดีย ลักษณะของพระพุทธรูป ทำตามพระมหาปุริสลักษณะ ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เท่าที่ค้นพบและประมวลได้ พอจะแบ่งได้ตามแหล่งและยุคสมัยของการเกิดพระพุทธรูปในประวัติศาสตร์ได้ดังนี้
จากแค้วนคันธาระ มีอยู่ 9 ปาง คือ ปางมารวิชัย ปางปฐมเทศนา ปางอุ้มบาตร ปางประทานพร ปางประทานอภัย ปางลีลา ปางมหาปาฏิหาริย์ และปางปรินิพพาน
จากอินเดีย มีอยู่ 7 ปาง คือ ปางตรัสรู้ ปางเทศนา ปางทรมานพญาวานร ปางทรมานช้างนาฬาคีรี ปางลีลา ปางมหาปาฏิหาริย์ และปางปรินิพพาน
จากลังกา มีอยู่ 5 ปาง คือ ปางสมาธิ ปางรำพึง ปางลีลา ปางประทานอภัย และปางปรินิพพาน
สมัยทวาราวดี มีอยู่ 10 ปาง คือ ปางมารวิชัย ปางสมาธิ ปางเทศนา ปางลีลา ปางประทานอภัย ปางประทานพร ปางมหาปาฏิหาริย์ ปางบรรทม ปางโปรดสัตว์ และปางปรินิพพาน
สมัยศรีวิชัย มีอยู่ 6 ปาง คือ ปางมารวิชัย ปางสมาธิ ปางนาคปรก ปางลีลา ปางประทานอภัย และปางปรินิพพาน
สมัยลพบุรี มีอยู่ 7 ปาง คือ ปางมารวิชัย ปางสมาธิ ปางนาคปรก ปางลีลา ปางประทานพร ปางประทานอภัย และปางปรินิพพาน
สมัยเชียงแสน มีอยู่ 10 ปาง คือ ปางมารวิชัย ปางสมาธิ ปางถวายเนตร ปางอุ้มบาตร ปางลีลา ปางเปิดโลก ปางประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ปางประทับนั่งห้อยพระบาท ปางประทับยืน และปางไสยา
สมัยสุโขทัย
มีอยู่ 8 ปาง คือ ปางมารวิชัย
ปางสมาธิ ปางถวายเนตร ปางประทับยืน ปางประทานพร
ปางประทานอภัย ปางลีลา และปางไสยา
สมัยอยุธยา มีอยู่ 7 ปาง คือ ปางมารวิชัย
ปางสมาธิ ปางประทับยืน ปางลีลา ปางป่าเลไลย์ ปางประทานอภัย
และปางไสยา
สมัยรัตนโกสินทร์ มีอยู่ 5 ปาง คือ ปางมารวิชัย ปางสมาธิ ปางประทานอภัย ปางขอฝน และปางไสยา
ในรัชสมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 3 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส คัดเลือกพุทธอิริยาบถ จากพุทธประวัติที่น่าจะนำมาสร้างพระปางต่าง ๆ เพิ่มเติมจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว นำไปประดิษฐานอยู่ในหอราชกรมานุสร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ปัจจุบันมีพระพุทธรูปต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกมากรวมแล้วมากกว่า 50 ปาง มีอยู่ถึง 9 ปาง ที่เป็นเหตุการณ์ก่อนตรัสรู้ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นพระโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกอบด้วย ปางมารวิชัย ปางประสูติ ปางออกมหาภิเนษกรมณ์ ปางทรงตัดพระเมาลี ปางบำเพ็ญทุกรกิริยา ปางทรงรับมธุปายาส ปางเสวยมธุปายาส ปางลอยถาด และปางทรงรับหญ้าคา
การที่ปางมารวิชัยเป็นปางที่มีอยู่ทุกสมัย และเป็นปางต้นของปางต่าง ๆมาแต่สมัยโบราณ เนื่องจากปางนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการตรัสรู้ จึงมีความสำคัญพอ ๆ กับปางสมาธิ ซึ่งเป็นปางตรัสรู้ ดังนั้นพระประธานในพระอุโบสถจะเป็นพระพุทธรูปในสองปางนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
พระพุทธรูปปางมารวิชัย
ลักษณะของพระพุทธรูปปางมารวิชัย
ที่มา
: (ชูชาติ หิรัญรักษ์ และคณะ, ม.ป.ป.)
มีลักษณะประทับนั่งขัดสมาธิ คือประทับนั่งตั้งพระวรกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้าพระบาทขวาทับพระบาทซ้าย พระหัตถ์ซ้ายวางอยู่บนพระเพลาหงายขึ้น พระหัตถ์ขวาวางอยู่บนพระเพลา คว่ำพระหัตถ์ ปลายพระดัชนีชี้ลงดิน หมายถึง เรื่องพระพุทธประวัติเมื่อทรงอ้างพระธรณีเป็นพยานแก่พระยามาร เครื่องประกอบ มักทำเป็นรูปยักษ์มาร และนางแม่พระธรณีบีบมวยผม ชาวบ้านมักจะเรียกพระพุทธรูป ปางนี้ว่า ปางผจญมาร หรือปางสะดุ้งมาร
ประวัติของปางมารวิชัย
พระบรมโพธิสัตว์ (พระพุทธเจ้าก่อนบรรลุธรรม) ได้เสด็จไปประทับใต้ต้นมหาโพธิ์ในเวลาเย็น และนั่งสมาธิกำหนดจิตเจริญสมาธิภาวนา เพื่อการบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ แต่จิตของพระองค์แทนที่จะคิดไปในทางโลกุตตรธรรม กลับหันไปคิดถึงโลกิยสุข แต่เมื่อครั้งอยู่ครองเรือนในหนหลัง และผู้แต่งปฐมสมโพธิกถา ได้แสดงการผจญในโลกิยสุขของพระบรมโพธิสัตว์โดยใช้การผจญของมารเป็นสัญลักษณ์ ดังนี้ว่าเป็น พระยาวัสสวดีมาร ซึ่งคอยติดตามพระองค์อยู่จึงเข้าขัดขวาง โดยขี่ช้างคิรีเมขละ นำเหล่าเสนามารจำนวนมากเข้ามารบกวน หวังให้พระองค์เกรงกลัวจะได้ลุกขึ้นเสด็จหนีไป แต่พระองค์ก็ยังประทับนิ่งเป็นปกติโดยมิได้ทรงหวั่นไหว พระยามารจึงโกรธมาก สั่งให้เสนามารกลุ้มรุมกันประหารพระองค์ พระองค์จึงทรงนึกถึงบารมี 30 ทัศ ที่ทรงบำเพ็ญสั่งสมมาทุกชาติ โดยขอให้นางแม่พระธรณีเป็นพยาน แม่พระธรณีจึงผุดขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วบิด มวยผมจนน้ำท่วม กระแสน้ำก็พัดพาพวกเสนามารไปหมดสิ้น พระยาวัสสวดีมาร จึงยอมแพ้หนีไป
- เป็นพระพุทธรูปประจำเดือนหก
- พระปางนี้นิยมสร้างเป็นพระประธานในพระอุโบสถ เป็นคติที่พระองค์ทรงพิชิตพระยามาร
- บ้างเรียกว่าปางผจญมาร, ปางมารสะดุ้ง (ภายหลังผิดเพี้ยนเป็น ปางสะดุ้งมาร)
ปางขัดสมาธิเพชร เป็นชื่อเรียกพระพุทธรูปในอิริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิไขว้พระชงฆ์ (แข้ง) หงายฝ่าพระบาททั้งสองข้าง พระหัตถ์วางซ้อนกัน บนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้าย
เป็นท่านั่งสมาธิที่พระบรมโพธิสัตว์ ประทับนั่งหลังจากที่รับหญ้าคา 8 กำ จากนายโสตถิยพราหมณ์ แล้วทรงนำไปปูใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ แล้วทรงประทับนั่งในท่าขัดสมาธิเพชรนี้ แล้วทรงอธิษฐานว่า “เนื้อและเลือดในสรีระนี้ แม้จะเหือดแห้งไปหมดสิ้น จะเหลือแต่หนังเอ็นและกระดูกก็ตามที ถ้าเรายังไม่บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณก็จักไม่ทำลายบัลลังก์นี้” ด้วยพระหฤทัยที่แน่วแน่มั่นคง และทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา หรืออีกนัยหนึ่งพระพุทธเจ้า เสด็จออกไปโปรดสัตว์ในเวลาเช้า เสวยแล้วทรงพักกลางวัน ทรงพระอิริยาบถนั่ง คือนั่งสมาธิ
4. ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อหลวงพ่อเพชร
องค์หลวงพ่อเพชรเป็นพระพุทธรูปที่ทรงพุทธานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยกิตติศัพท์นานัปการ เมื่อใครก็ตามได้ไปเที่ยวจังหวัดพิจิตร ก็จะต้องไปนมัสการขอพรองค์หลวงพ่อเพชร เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว ที่ว่าองค์หลวงพ่อเพชรทรงพุทธานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์นั้น เนื่องจากมีประชาชนที่มีจิตเลื่อมใสศรัทธาอันมั่นคง เมื่อมีใครเดือดร้อน เช่น วัตถุสิ่งของหาย หรือมีความทุกข์ก็จะเข้ามาบนบานศาลกล่าวขออำนาจ ขอพรอันประเสริฐจากองค์หลวงพ่อเพชรให้ช่วยปัดเป่าความทุกข์ อุปสรรค ภยันตรายต่าง ๆ ให้หมดหายไป หรือขออำนาจบารมีหลวงพ่อเพชรให้ช่วยปกปักรักษาคุ้มครอง ด้วยเดชะบารมีและอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อเพชร ก็ดลบันดาลช่วยให้ได้รับผลทันตาเห็น แทบทุกราย แม้การเจ็บไข้ได้ป่วยก็มาขอน้ำพระพุทธมนต์หลวงพ่อเพชร ไปดื่ม ไปอาบ ก็สามารถรักษาหายได้ เมื่อผู้นั้นพ้นภัยอันตราย พ้นจากความทุกข์ยากแล้วก็จะกลับมาแก้บน ด้วยการนำหัวหมู ไก่ต้ม ไข่ไก่ ขนม ผลไม้ ถวายแด่องค์หลวงพ่อเพชรที่พระอุโบสถ กลิ่นควันธูปเทียนมิได้ขาดระยะ ชาวเมืองพิจิตรทุกผู้ทุกนามต่างให้ความเคารพ นับถือ เลื่อมใสอย่างสูงต่อองค์หลวงพ่อเพชร ทั้งยังเป็นมิ่งขวัญ ศูนย์รวมจิตใจของชาวพิจิตร ดังจะเห็นได้ในงานเทศกาลประจำปีที่เคยจัดในเดือนธันวาคม - เดือนมกราคม หรือในเดือนเมษายน จะมีประชาชนจากที่ต่าง ๆ พากันมานมัสการกันอย่างล้นหลามแน่พระอุโบสถ บางวันเกือบจะเดินเข้า - ออกพระอุโบสถกันแทบไม่ได้ แม้ในวันปกติธรรมดาก็มีประชาชนเข้ามานมัสการบูชากันมิได้ขาด
จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อเพชร เป็นมิ่งขวัญของเมืองพิจิตรและประชาชนทั่วไป เป็นที่เคารพสักการบูชาอย่างสูงสุด เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของพุทธศาสนิกชนให้ยึดมั่นในการประกอบแต่คุณงามความดี เป็นที่พึ่งทางจิตใจในยามที่มีทุกข์ร้อน เมื่อผู้ใดเข้าไปนมัสการองค์หลวงพ่อเพชรแล้ว ก็จะบังเกิดความสงบร่มเย็น สงบกาย วาจา และใจ พลังแห่งความเลื่อมใสศรัทธา เคารพ นับถือ และพุทธานุภาพขององค์หลวงพ่อเพชร ไม่เคยจากหายไปจากจิตใจอันดีงามของชาวพิจิตรและชาวพุทธ ด้วยเหตุหลายประการดังกล่าวมานี้ องค์หลวงพ่อเพชรจึงเป็นพระคู่บุญบารมี คู่บ้านคู่เมืองพิจิตรนับแต่อดีตจนปัจจุบัน
ไม่มีความเห็น