โรงเรียนดีประจำตำบลกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทย
ความเป็นมา
คุณภาพการศึกษาของระบบการศึกษาที่ผ่านมา มีปัญหามากที่สุดในพื้นที่ชนบทและพื้นที่ห่างไกล หลายพื้นที่ในประเทศไทยมีโรงเรียนหลายแห่งที่มีคุณภาพมาตรฐานที่เทียงเคียงได้กับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตที่เจริญแล้ว ในจังหวัด ในตัวเมือง ขณะเดียวกันช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างโรงเรียนเหล่านี้กับโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลออกไป อยู่ในสภาวะที่น่าเป็นห่วง ซึ่งนอกจากจะกระทบคุณภาพของการศึกษาในภาพรวมแล้ว ยังสร้างปัญหาในความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมมากยิ่งขึ้นด้วยเหตุผลนี้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งรัดในเรื่องการสร้างคุณภาพของโรงเรียนให้กระจายในทุกพื้นที่ของประเทศ โดย ศธ.ได้วางแนวทางในการเริ่มต้นขับเคลื่อนไปในระดับตำบล ดังที่ได้มีการจัดทำโครงการอยู่ในขณะนี้ และได้ตระหนักถึงปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่กระจายอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งรัฐบาลมีแนวทางที่ชัดเจนในการส่งเสริมและสนับสนุนเพิ่มเติม เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเหล่านั้นด้วย
จากคำแถลงของ นายชินวรณ์ บุญเกียรติ ความว่าวันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์การศึกษาไทยอีกครั้งหนึ่ง ครั้งแรกคือสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มุ่งให้คนไทยได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงโดยการตั้งโรงเรียนประชาบาล และครั้งนี้เราจะร่วมกันสร้างโรงเรียนดีประจำตำบล เพื่อกระจายทั้งโอกาสและคุณภาพทางการศึกษาให้ถึงท้องถิ่นชนบท จึงถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ประวัติศาสตร์การศึกษาไทยต้องจารึกไว้
จุดเริ่มต้นของโครงการนี้ เนื่องมาจากความคิดที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษาในชนบทให้สูงขึ้นโดยการสร้างโรงเรียนดีประจำตำบล ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง รัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาคน และเครื่องมือพัฒนาคนที่ดีที่สุดคือ การศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาสำหรับคนในฐานล่างสุด การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองจึงกำหนดวิสัยทัศน์และแนวคิดไปสู่คุณภาพของพลเมือง ซึ่งต้องสร้างแหล่งเรียนรู้สำหรับประชาชน โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วน
วัตถุประสงค์
การดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีชินวรณ์ บุญเกียรติ
รมว.ศธ.กล่าวว่า นโยบายนี้จะสอดรับกับการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ภายใต้ต้นทุนที่แต่ละแห่งจะไม่เหมือนกัน เพราะรูปแบบของโรงเรียนดีประจำตำบลซึ่งจะเกิดขึ้นในปี ๒๕๕๓ ทั้ง ๑๘๒ โรงเรียนนี้จะแตกต่างกันออกไป เนื่องจากโรงเรียนต้องหารือร่วมกันในชุมชนก่อนว่า ท้องถิ่นนั้นๆ มีความพร้อมที่จะร่วมกันสร้างและพัฒนาโรงเรียนดีประจำตำบลหรือไม่เพียงใด เพื่อให้เป็นโรงเรียนที่มีมาตรฐานสูง และหากตกตงที่จะร่วมมือกัน ก็ต้องมีการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างผู้บริหารโรงเรียนกับนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) รวมทั้ง MOU ในส่วนกลางระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับกระทรวงมหาดไทยด้วย ตนจึงขอเรียกโรงเรียนดีๆ ที่จะเกิดขึ้นนี้ว่าเป็น "โรงเรียนดีในกำกับของชุมชน"
สำหรับความร่วมมือในชุมชน ซึ่งถือเป็นหลักของการกระจายอำนาจที่ อบต.ควรสนับสนุน เช่น รถโรงเรียน ซึ่งแต่ละ อบต.มีอยู่แล้ว อาจนำไปติดป้ายเป็นรถโรงเรียนดีประจำตำบล เพื่อรับส่งนักเรียนจากบ้านมาโรงเรียน ส่วนการสร้างสระว่ายน้ำ หากตำบลมีความพร้อมที่จะสนับสนุนโดยการจ้างครูพละมาช่วยสอน ทาง สพฐ.ก็พร้อมจะจัดสรรงบประมาณไปให้แห่งละประมาณ ๘-๑๐ ล้านบาท นอกจากนั้นอาจมีการช่วยกันระดมทรัพยากรจากภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมเพิ่มเติม ให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างโรงเรียนกับชุมชน เพื่อให้คนในชุมชนรักท้องถิ่นของตนเอง หลังจากนั้นอาจจะมีการทำ MOU กับโรงเรียนดีประจำอำเภอ หรือมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อมาดูแลร่วมกันต่อไป
รมว.ศธ.กล่าวว่า กิจกรรมที่จะดำเนินการภายหลังการจัดทำ MOU นั้นจะให้ที่ประชุมสัมมนาครั้งนี้ช่วยกันคิดต่อ เพื่อให้เกิดความร่วมมือที่ชัดเจนอย่างน้อย ๓ ด้านที่สำคัญคือ
๑) พัฒนาผู้เรียนให้เกิดความเข้มข้นขึ้น
๒) พัฒนาเทคโนโลยีและสื่อการเรียนการสอน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนให้ดีที่สุด
๓) พัฒนาบุคลากรในโรงเรียน เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ศธ.จะดูแลเป็นพิเศษ หากจะต้องมีการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กภายในตำบลเข้ามาเป็นโรงเรียนดีประจำตำบล
รมว.ศธ.กล่าวว่า หลายฝ่ายเป็นห่วงเรื่องงบประมาณอย่างมาก เนื่องจากเป็นรัฐมนตรีเพียง ๓ เดือน แต่ตนใช้ความกล้าหาญในเรื่องนี้มากพอสมควรที่จำเป็นต้องตัดสินใจโครงการนี้ขึ้น โดยใช้งบประมาณกว่า ๑,๙๐๐ ล้านบาท ซึ่งยืนยันว่างบประมาณก้อนแรกจำนวน ๑,๗๐๐ ล้านบาทนั้นต้องได้แน่นอน ส่วนงบฯ ที่เหลือกว่า ๒๐๐ ล้านบาทนั้น ให้ สพฐ.ขอขยายเวลาการจัดจ้างออกไป และงบฯ SP2 นี้เชื่อมั่นว่าต้องเสร็จภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม เพื่อจัดสรรงบประมาณทั้งหมดให้โรงเรียนดีประจำตำบลทุกแห่งนำไปจัดภูมิทัศน์ใหม่ มีการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารเรียน สร้างศูนย์กีฬาหรือสระว่ายน้ำ สร้างศูนย์การเรียนรู้อาชีพ จัดซื้อครุภัณฑ์ สื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษา สร้างหรือปรับปรุงห้องสมุดที่ทันสมัย
รมว.ศธ.กล่าวว่า ขอความร่วมมือ ผอ.สพท.ช่วยกันคิดและวางแผนดำเนินการ หากไม่เช่นนั้นกรอบความคิด ๓ เรื่องนี้จะทำยาก คือ
๑) การรับส่งนักเรียนจากบ้านมาโรงเรียน
๒) การช่วยกันระดมทำ School Mapping เพื่อดูข้อมูลคนในวัยเรียน วัยทำงาน มีการจัดทำ School Based Management ที่ชัดเจน
๓) เร่งการจัดจ้าง ทั้งนี้ ผอ.สพท.จะต้องพิจาณาถึงศักยภาพความพร้อมที่จะให้เกิดความร่วมมือในด้านใดได้ อีกบ้าง
รมว.ศธ.ยังได้ฝากให้นายก อบต.ช่วยพิจารณาในประเด็นต่างๆ ดังนี้
๑) หาก อบต.ใดที่มีความพร้อมที่จะดำเนินการในปีต่อไป ขอให้มาดูต้นแบบของโรงเรียนดีประจำตำบลในปีนี้ด้วย
๒) ช่วยกันทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในตำบลเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการนี้
๓) ช่วยกันผนึกกำลังพัฒนาด้านกายภาพ ความร่วมมือด้านต่างๆ อย่างแท้จริง
เป้าหมาย
ในปี 2553นี้จะเริ่มสร้างโรงเรียนดี ประจำตำบลรวม ๑๘๒ โรงเรียนใน ๑๘๒ เขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งหากโรงเรียนใดมีการทำ MOU กับ อบต.ได้ ก็จะมีการจัดงบประมาณไปให้ดำเนินการเต็มรูปแบบ รวมทั้งงบประมาณที่เตรียมไว้ดำเนินการในปีงบประมาณ ๒๕๕๔ เพื่อต่อยอดอีก ๒,๓๐๐ ล้านบาท โดยรูปแบบที่ต้องการพัฒนาโรงเรียนนั้นต้องมีรูปแบบดังนี้
๑) เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพสูง ซึ่งจะมีการปรับปรุงทางด้านกายภาพให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทันที คือ มีอาคารหลักอย่างน้อย ๑ หลัง อาคารประกอบอื่นๆ ที่ปรับปรุงซ่อมแซมแล้ว มีจำนวนคอมพิวเตอร์ต่อนักเรียนในสัดส่วน ๑:๑๐ มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีห้องสมุด๓ดี มีศูนย์กีฬาหรือสระว่ายน้ำ รวมทั้งศูนย์การเรียนอาชีพด้านต่างๆ ที่อาชีวศึกษาจะเข้าไปช่วย
๒) มีการบริหารจัดการใหม่ รวมทั้งการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ครู ผู้บริหารเป็นพิเศษ
๓) มีครูที่ดี มีจำนวนครูที่จบการศึกษาในกลุ่มสาขาวิชาเอกที่สำคัญอย่างน้อย ๕ กลุ่มสาระการเรียนรู้
๔) จะส่งเสริมให้สนองตอบต่อชุมชน ซึ่ง ต่อไปโรงเรียนจะมีหอประชุมขนาดใหญ่ ใช้สำหรับรองรับงานต่างๆ ของชุมชน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นกระบวนการที่ ศธ.สามารถดำเนินการด้วยการสนับสนุนงบประมาณและการบริหารจัดการ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถช่วยได้ คือโรงเรียนต้องปรับตัวเองขึ้นมาเพื่อให้สนองตอบต่อความต้องการของชุมชน
ภาพแห่งความสำเร็จของโรงเรียนดีประจำตำบล
1. สร้างคนไทยยุคใหม่ ให้เป็นคนไทยที่เก่ง ดี มีสุข ใฝ่รู้ ใฝ่ดี คิดเป็นแก้ปัญหาเป็น มีความจงรักภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์ หวังว่าพลเมืองยุคใหม่ดังกล่าวต้องเกิดได้จริง
2. สร้างครูยุคใหม่ เปลี่ยนจากครูที่มุ่งแต่การสอน เป็นการเรียนรู้ให้มากขึ้น โดยกระทรวงศึกษาธิการจะพัฒนาครูทั้งระบบ
3. สถานศึกษายุคใหม่ เราจะมีโรงเรียนที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล อย่างน้อยจังหวัดละ 3 โรงเรียน มีโรงเรียนดีประจำอำเภอ 500 โรงเรียน คืออย่างน้อยอำเภอละ 3 โรงเรียน และโรงเรียนดีประจำตำบล 7,000 โรงเรียน ทั่วประเทศ จะมีส่วนในการสร้างคุณภาพชีวิตคนชนบท โดยความร่วมมือของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการ
4. การบริหารจัดการใหม่ ได้ประกาศแนวทางการพัฒนาหลายด้าน การจัดสรรงบประมาณให้กับการพัฒนาบุคลากรมากที่สุด และจะจัดสรรงบประมาณจำนวน 4 แสนล้านบาทอย่างโปร่งใสถึงผู้เรียนอย่างแท้จริง ภายใต้โครงการ
กำหนดยุทธศาสตร์ 777 ในการพัฒนาดีประจำตำบล
เพื่อให้การพัฒนาโรงเรียนดีประจำตำบลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดยุทธศาสตร์ 777 ในการพัฒนา คือ
4 เดือนแรก มีเป้าหมาย 7 ประการ คือ
1.มีแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน เชื่อมั่นว่าทำได้จริง
2.มีเป้าหมายในการพัฒนานักเรียน ที่ทุกคนเข้าใจถูกต้องตรงกัน
3.สถานศึกษามีความสะอาด
4.มีบริเวณโดยรอบร่มรื่น พัฒนาให้สวยงาม
5.มีบรรยากาศอบอุ่นเสมือนบ้านสีสันสดใส
6.มีความปลอดภัย ปลอดสารเสพติด และ
7.เปิดโอกาสให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ
4 เดือนที่สอง พัฒนา 7 ประการ คือ
1.มีห้องสมุด 3 ดี
2.มีห้องปฏิบัติการ
3.มีศูนย์การเรียนรู้อาชีพ
4.มีศูนย์กีฬาชุมชน
5.มีห้องสุขาที่ถูกสุขลักษณะ
6.มีครูที่ใช้แหล่งเรียนรู้และใช้ไอซีที และ
7.มีการบริหารที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่จะพัฒนาไปสู่ความเป็นร.ร.ดีประจำตำบล
4 เดือนที่สาม 7 ประการสุดท้าย คือ
1.มีร.ร.ที่มีชื่อเสียงดี มีมาตรฐานและมีคุณภาพ
2.มีนักเรียนที่ใฝ่รู้
3.ร.ร.จะต้องมีลักษณะปลูกฝังใฝ่เรียน
4.ร.ร.จะต้องปลูกฝังให้นักเรียนมีลักษณะใฝ่ดี
5.มีความเป็นไทย
6.มีสุขภาพดี และ
7.รักการอ่าน
เราต้องการโรงเรียนดีประจำตำบล หรือโรงเรียนดีทั้งตำบล ก็พิจารณากันเอาเอง
ไม่มีความเห็น