เมื่อสักครู่ (เวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น.) ระหว่างที่พิมพ์บันทึกเรื่อง NKM5 : ไม่ได้ไป แต่ขอใช้กายและใจให้เป็นประโยชน์... ก็มีเด็กมาตามบอกว่ามีหมอ ๒ คนมานวดให้ ถ้าว่างให้ไปนวด ตอนนั้นเราก็ตอบอย่างเต็มปากเต็มคำว่า "ไม่ไป" แต่ทว่า อีกไม่กี่อึดใจก็ได้ยินเสียงหมอ ๒ ท่านนั้นมาใกล้ ๆ เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว หนึ่งในสองท่านนั้นคือ คุณหมอหวล สังข์พราหมณ์ ปรมาจารย์ แห่งวงการ "แพทย์แผนไทย..."
ข้าพเจ้าเคยบันทึกเกี่ยวกับคุณหมอหวลไว้ครั้งหนึ่งที่ การแพทย์แผนไทย : คุณหมอหวล สังข์พราหมณ์ และช่วงประมาณกลางปี ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเองก็ได้มีโอกาสเข้าเรียนการรักษาโรคแผนไทยเบื้องต้นจากท่านที่จังหวัดเชียงใหม่
ครั้งนี้ ข้าพเจ้าจึงไม่รอช้ารีบยื่นตา ยื่นหน้าออกไป และขอหยิบบัตรคิวเป็นเบอร์ ๑
กว่าสองชั่วโมงที่ได้รับการนวดจากคุณหมอหวล นอกจากจะได้รับความสบายจากอาการคลายของโรคต่าง ๆ ลงไปได้มากแล้ว ก็ยังได้รับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาโรคแผนไทยได้อีกมากโข
และโดยเฉพาะเมื่อถามถึงลูกศิษย์ท่านคนหนึ่ง ก็ได้ทราบข้อมูลที่น่าดีใจว่า ตอนนี้ลูกศิษย์ของท่านมีรายได้ที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้อย่างดีที่เดียว
ย้อนกลับไปในอดีต คุณหมอหวลเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับลูกศิษย์ท่านว่า เขาเคยทำงานอยู่ในบริษัท เงินเดือน ห้าหกพันบาท คุณหมอหวลก็เลยชักชวนให้มาเรียนนวดรักษาโรคแผนไทยกับท่าน และบอกว่าเดือนหนึ่งจะหาเงินสักห้าหกหมื่นบาทก็ไม่ยาก
นับตั้งแต่ข้าพเข้าอยู่ที่นี่ ก็ได้เห็นลูกศิษย์ท่านคนนี้ติดสอยห้อยตามคุณหมอหวลอยู่นานนับปี ไปไหน ไปด้วย ทั้ง ๆ ที่คุณหมอหวลมีลูกศิษย์มาก แต่ก็จะมีลูกศิษย์คนนี้คอยถือกระเป๋าติดตามขึ้นเหนือล่องใต้อยู่ไม่ขาด
และเวลาไม่ถึงสามปีที่ข้าพเจ้าจำได้ จากคนที่เคยทำงานบริษัทได้เงินเดือนห้าหกพัน วันนี้ได้ทราบคร่าว ๆ ว่า เขารักษาผู้ป่วยได้รายได้วันละห้าหกพัน (ท่านพูดคร่าว ๆ ว่าลูกศิษย์ท่านคนนั้นมีรายได้ประมาณเดือนละสองแสน)
เมื่อข้าพเจ้าได้ยินดังนั้นก็พูดกับหมอหวลขึ้นมาทันทีว่า เด็กไปเรียนปริญญาตรี ๔ ปีจบมาได้เงินเดือนแค่เจ็ดแปดพัน ถ้าเด็กมาติดตามคุณหมอสักสี่ปีนี่คงได้วิชาไปมากหลาย
คุณหมอหวลก็ตอบอย่างชัดเจนว่า "แน่นอน" ถ้าติดตามแบบติด ๆ สักสี่ปีนี่ได้เกือบทั้งหมด เพราะเห็นอาการของคนไข้อย่างมากมาย ผู้ป่วยแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะที่รักษาแล้วหายว่าต้องรักษาอย่างไร
ในแต่ละครั้งที่ได้นวดกับคุณหมอหวล ท่านจะมีเทคนิคต่าง ๆ มาบอกอยู่เสมอ อย่างน้อยก็ในฐานะลูกศิษย์ที่เคยเรียนกับท่านครั้งหนึ่ง
วันนี้ท่านก็ได้ใช้วิธีการนวดสองอย่างเปรียบเทียบให้ได้สังเกตุ คือ การนวดแบบเดิมคือ การนวดไปตามเส้น หรือนวดไล่เส้น กับการนวดขึ้นไปลงล่าง ที่ท่านใช้คำพูดที่จำได้ง่าย ๆ ว่า จากดินขึ้นฟ้า จากฟ้าลงดิน ใช้นิ้วหัวแม่มือกดไล่ขึ้นลงไปตามเส้นเส้นหน้าแข้งและน่อง ซึ่งจะละเอียดกว่าการไล่เส้นแบบเดิม
นอกจากนี้ประโยคที่ท่านพูดได้อย่างกินใจสำหรับแนวทางในการเผยแพร่การรักษาโรคแผนไทยแบบนี้ท่านได้พูดว่า
"ถ้านวดแล้วเก็บ ก็ต้องนวดจนตาย..."
มีอะไร รู้อะไรก็ต้องเผยแพร่ออกไป มีความรู้มีวิชาก็ต้องถ่ายทอด ถ่ายทอดให้เขาเราก็เบา แบ่งเบาภาระของเราไปได้มาก...
ทำให้นึกย้อนไปถึงครู ถึงอาจารย์สมัยนี้ ที่มีอะไรก็จดสิทธิบัตร เก็บรักษาไว้กลัวใครแย่ง
เก็บไว้หนักอยู่คนเดียว มีทองเท่าหนวดกุ้งยังต้องนอนสะดุ้งทั้งคืน
ครูดี คือผู้ให้ ผู้ให้อย่างสุดใจ อันเป็นผู้ให้อย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ...
ปัญหาของเด็กไทยไม่ใช่อยู่ที่เขาไม่ขยัน ไม่มีความเพียร
แต่ปัญหาของนักเรียนไทยคือไม่มีโอกาสที่จะได้อยู่กับครูที่ดี
เด็กนักเรียนได้อยู่กับครูที่ไม่มีความเป็นครู ได้เรียนรู้กับอาจารย์ที่ไม่มีความรู้
คนเราถ้าได้อาจารย์ดี อนาคตก็จะดีไปกว่าครึ่ง
ครูบาอาจารย์ที่ดีจริง ๆ นอกเหนือจักมีความรู้ที่ดีอันเป็นความรู้แท้แล้ว ครูบาอาจารย์ที่ดียังดูแลเอาใจใส่ "จิตใจ" ของนักเรียนให้ดีอีกด้วย
ครูบาอาจารย์ก็เปรียบเสมือนผู้บริหารที่มีหน้าที่จัดการนักเรียนที่ไหลเข้ามาสู่สายการผลิต
ถ้าครูบาอาจารย์เก่ง คือ มีความรู้ เขาจะรู้จักวัตถุดิบว่าอ่อน ว่าแข็ง เปียก หรือแห้ง ควรจะทำสิ่งใดก่อน สิ่งใดหลัง
บางครั้งไม้แข็ง ๆ ไปรีบดัดมันก็หักแค่นั้น ข้าวเปียก ๆ นำไปสีก็พาข้าวถังอื่นขึ้นราตามไปด้วย
นักเรียนปัจจุบันมีความเพียรมากอยู่แล้ว เพราะเกิดจากแรงบันดาลใจที่มักใหญ่และใฝ่สูง
ดังนั้น ถ้าเจอครูบาอาจารย์ที่ดีเขาจะไปได้ไกลมาก
ความดีของคน มิใช่การอัดฉีดเงินลงไปแล้วส่งไปเรียนที่ไกล ๆ
ความดีของคนอยู่ที่ศีล อยู่ที่ธรรม
ความกตัญญู กตเวทิตาคุณเป็นคุณธรรมเบื้องต้นในจิตใจ
ความกตัญญูนั้นหมายรวมถึงการรู้จักบุญคุณของสรรพสิ่ง
นั่งกินข้าวอยู่ก็รู้จักคุณของข้าว เขาจัดให้มีเทศกาลลอยกระทงก็ให้รู้จักบุญคุณของพระแม่คงคา
หากจะคิดพัฒนาเด็กไทยในวันนี้ ก็ขอให้พัฒนาจิตใจของครูให้ดีเสียก่อน
หากใครเป็นครูก็พึงพัฒนาตนเองให้เป็นครูที่ดี หากใครเป็นครูที่ดีอยู่แล้วก็พึงพัฒนาตนเองให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
จงเตือนตนด้วยตนเอง คนที่จะพัฒนาเราได้ดีที่สุดก็คือตัวของเราเอง
ไม่มีใครที่ไหนอยู่ใกล้ชิดกับเราได้เท่าตัวของเรา
เราทำผิด เราทำถูกเราก็รู้ เราก็ชี้ผิด ชี้ถูก ชี้โทษ ชี้ภัย ชี้แนวทางแก้ไขให้ตนเอง
ถ้ารักชาติพึงพัฒนาตนเอง
ถึงแม้นในวันนี้เราไม่ใช่ครู ในวันหน้าเราอายุมากขึ้น เราก็กลายเป็นครูของน้อง ๆ กลายเป็นครูของลูกน้อง กลายเป็นครูของลูก เป็นครูของหลาน เป็นตัวอย่างให้กับอนุชนรุ่นต่อ ๆ ไป
ตัวเรานั้นเป็นเหตุที่จะสร้างความมืดหรือความสว่างไสวให้กับอนาคตของเมืองไทยในภายหน้า
พึงพัฒนาตนเองให้ดี สร้างตนเองให้เป็นตัวอย่างที่ดี การกระทำที่ดีนั้นสำคัญกว่าคำพูด
ครูที่ดี คือ คนที่กระทำความดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ อยู่ในทุกขณะที่ลืมตาตื่น หรือเมื่อหลังจรดพื้นก็ยังมีมโนกรรมที่ดี
ครูดีเป็นศรีแก่ชาติ ครูดีจักเป็นผู้ประสิทธิ์ประศาสน์วิชาที่จะนำพาศิษย์ทั้งหลายให้ "เจริญ..."
เมื่อก่อนข้าพเจ้าเคยตั้งคำถามกับตนเองเกี่ยวกับการทานยาแก้อักเสบเมื่อครั้งเกิดอาการปวดฟันว่า “ไอ้ยาที่กินเข้าไปแต่ละเม็ดมันจะไปรู้ได้อย่างไงว่าเราเจ็บป่วยตรงไหน...?”
และวันนี้เมื่อคุณหมอหวลมาทำการนวดให้กับข้าพเจ้าอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็ได้ถามคำถามที่ดูเหมือนจะเป็นคำถามโง่ ๆ กับท่านอีกครั้งหนึ่ง เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่าการรักษาโรคด้วยการใช้ศาสตร์ทางแพทย์แผนไทยโดยเฉพาะการนวดกดจุดลงไปตามจุดที่เกี่ยวเนื่องกับจุดที่เจ็บนั้นจะได้ผลตรงและไวกว่าการกินยา โดยเฉพาะไม่ต้องรับผลข้างเคียงจากการทานยาอาทิยาแก้อักเสบจนครบโดสด้วย
คำถามที่ข้าพเจ้าคิดขึ้นมานี้ ในทางการแพทย์อาจจะชี้แจงว่ายาแก้อักเสบอาจจะมีเซนเซอร์ที่สามารถวิ่งปรู๊ดปร๊าดไปยังส่วนที่เจ็บได้โดยทันที
อาทิ ข้าพเจ้าปวดฟัน เมื่อทานยาแก้อักเสบและถูกย่อยสลายที่กระเพาะอาหารแล้ว สารเคมีจากยาแก้อักเสบนั้นจะนัดรวมตัวและวิ่งมาที่ฟันของข้าพเจ้าโดยทันที
ถ้าทานยาเข้าไปในขนาด 500 มก. มันจะนัดรวมตัวกันและพุ่งมาที่ฟันซี่นั้นของข้าพเจ้าทั้งหมด
แต่ถ้าไม่ยาทั้ง 500 มก. ที่ทานเข้าไปจะวิ่งไปตามส่วนไหนบ้าง เป็นสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าอดคิดต่อไม่ได้ ว่าส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะอาหารที่สัมผัสกับยาโดยตรงจะมีการซึบซับยาไปบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะยาแก้อักเสบที่มักจะต้องทานร่วมกับอาหาร ไม่ว่าก่อนหรือหลังอาหาร ยาทั้ง 500 มก. นั้นไปไหนบ้าง
หรือคำถามคลาสสิกที่สุดที่เคยมีคนเคยพูดเล่น ๆ กันในชีวิตของเราบ่อย ๆ ว่า “ทำไมเวลาปวดหัว ปวดท้อง เป็นไข้ ไม่สบายแล้วต้องกินพารา...?”
วันนี้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสคุยกับคุณหมอหวลเรื่องหนึ่ง คือ การบรรเทาอาการเจ็บป่วยตามส่วนต่าง ๆ ด้วยการกระตุกที่ปลายรากผม
เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้เล่าให้หมอหวลฟังว่า ข้าพเจ้าเคยเห็นเทคนิคการรักษาแบบนี้มาแล้วจากช่างชาว “ไทยใหญ่”
ครั้งนั้นข้าพเจ้ามีคนงานชาวไทยใหญ่มาทำงานด้วย วันหนึ่งก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งมัดผมเป็นกระจุก ๆ แล้วมีเพื่อนอีกคนหนึ่ง “กระตุก” อย่างแรง
ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็ตกใจ จึงว่าทำอะไรกันอยู่...?
คนงานคนหนึ่งตอบว่า เพื่อนเขาไม่สบาย และเทคนิคการรักษาโรคแบบนี้คนแถวบ้านเขาทำกัน
ข้าพเจ้าก็เก็บคำถามไว้ในใจต่อว่า ทำแบบนี้แล้วหายไหม...?
คำตอบที่ได้รับ อาจจะไม่ตรงนัก ก็ได้คำตอบคร่าว ๆ ว่า เขาก็ไม่เห็นตาย ไม่เห็นมีอาการทุกข์ อาการร้อนจากการเจ็บป่วยไม่สบายตรงไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เส้นผมของเขาก็ไม่ได้หายไปไหนยักดกดำและเงางามอยู่เสมอ...
หลังจากนั้นคุณหมอหวลก็ได้เมตตาเล่าถึงวิธีการรักษาโรคด้วยการนวดแผนไทยให้ฟังอีกว่า คนเราไม่ควรนวดครั้งหนึ่งติดต่อกันเกินสามชั่วโมง เพราะจะทำให้ป่วย หรือ ถ้านวดจนผู้นวดรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งฝ่าเท้าแล้ว ถ้าขืนนวดต่อไปอีกสักยี่สิบนาทีนั้นรับรองว่าป่วยแน่
คุณหมอนวลได้เล่าถึงสาเหตุว่าทำไมนวดนาน ๆ ถึงป่วยว่า เกิดจากเส้นเลือดใหญ่ทำงานหนักจนเกินไป...
นอกจากนั้นยังบอกอีกว่า เวลานวดรักษาโรคนั้นถ้าถูกต้องแล้วต้องนวดเบา ๆ การนวดแรงไม่ใช่วิธีการผ่อนคลายเพราะจะทำให้เส้นเลือดใหญ่เกิดอาการติดขัด และไม่ควรทำการนวดทุกวัน อย่างมากที่สุดสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง
สิ่งที่ข้าพเจ้าเล่าให้ฟังนี้เป็น Tacit knowledge ของคุณหมอหวล และเป็นเพียง Explicit knowledge ของข้าพเจ้า
แต่ข้าพเจ้าเองก็ขอรับฟังและบันทึกไว้เพื่อที่จะสังเกตุอาการของข้าพเจ้าและคนไข้ที่ในอนาคตข้าพเจ้าคงจะได้มีโอกาสช่วยเหลืออาการทุกขเวทนาของเขาบ้าง
เพราะในอนาคตข้างหน้า ข้าพเจ้าคงจะต้องเข้ารับการฝึกปรือวิชาแพทย์แผนไทยจากคุณหมอหวลอีกเป็นแน่แท้ ซึ่งข้าพเจ้าก็ฝากบอกคุณหมอหวลไว้ว่า อย่าเพิ่งด่วนหนีไป “สุขคติ” เสียก่อน...