มารู้จักมะเร็งลำไส้ใหญ่ ภัยร้ายใกล้ตัวคุณกันดีกว่า
นำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อให้ได้รู้จักมะเร็งลำไส้ใหญ่กันมากขึ้น เผื่อมีบางครั้ง จะได้ค้นพบและรักษาได้เร็วมากขึ้น มีตัวอย่างที่น่าเศร้า จากดร.อภิวัฒน์ คลิ๊กซิคะ
และมีบทสัมภาษณ์ จากดร.อภิวัฒน์ นำมาถ่ายทอดความรู้สึกของเขาเกี่ยวกับชีวิต ใช้ในการดำรงชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานหนักจนไม่มีเวลาพักผ่อน ลองอ่านดูนะคะ
บทสัมภาษณ์ ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร บางส่วนใน นสพ.คมชัดลึก 29 ก.ย.2548ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร หรือชื่อใหม่ว่า ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร เล่าย้อนถึงอาการก่อนหน้าเป็นมะเร็งว่า “รู้สึกว่าเวลาเข้าห้องนํ้า ทําไมถ่ายอุจจาระไม่หมดสักที บางที 1 นาทีก็กลับมาอีกแล้ว คือจะปวดตลอดเวลา แต่ไม่ได้ปวดท้องนะ แค่ปวดอยากถ่าย แล้วพบว่ามันจะมีเลือดออกมาด้วย เวลาที่ถ่ายเป็นเลือดจะรู้สึกตกใจ เราถึงได้ไปหาหมอ วันที่ไป หมอก็ให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเลย วันรุ่งขึ้นก็ตรวจส่องกล้อง เมื่อส่องกล้องออกมาเจอ แล้วตัดออกมาก็ไม่พบ แต่ผลเลือดชี้ชัดว่าเป็น ก็ไปหาหมอที่จะผ่าตัดเรา เข้าโรงพยาบาลวันที่ 9 – 10 สิงหาคม แต่วันที่ผ่าคือ 11 สิงหาคม ปีที่แล้ว (2547) ตั้งแต่วันแรกที่เลือดออกจนถึงวันที่ผ่าตัดเอาออกไป 21 วัน“การผ่าตัด เป็นทางออกที่ต้องเร่งทํา เนื่องจากมะเร็งเป็นเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วมาก ซึ่งหากดูลักษณะการแพร่กระจาย แล้วถือเป็นระยะที่ 3 เพราะเมื่อตัดลําไส้ออกไป มะเร็งได้ลุกลามไปอยู่ที่ตับแล้ว นั่นแสดงว่า มันไม่ได้เริ่มต้น แต่มันมีอยู่แล้ว เพียงแต่ตรวจไม่พบเท่านั้น ดังนั้น การรักษาต่อหลังการผ่าตัดลํ าไส้ คือ การใช้เคมีบําบัด ซึ่งทํ าให้เหนื่อยอ่อนจนทํ างานไม่ได้ นอกจากนี้ชีวิตประจํ าวันของเขายังเปลี่ยนแปลงไปด้วยทุกวันนี้ ดร.วรฑา รับการรักษาด้วยวิธีฉีดยาเข้าไปในร่างกาย เพื่อไปทํ าลายเส้นเลือดที่ต่อกับเซลล์มะเร็งโดยจะทํ าทุกสัปดาห์ และให้แพทย์ดูผลใน 2 เดือน นอกจากนี้ยังมี “ยาใจ” ที่ช่วยให้เขาดํ าเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขโดย ดร.วรฑา เผยว่า “เวลาที่ไปโรงพยาบาล เวลาที่เราเหนื่อยอ่อน พ่อกับแม่ก็จะคอยประคองแล้วเดินไปด้วยกัน เรามีความรู้สึกว่าอายุ 48 แล้วนะ พ่อแม่ยังดูแลเราอยู่เลย แล้วพอไปถึงโรงพยาบาล เจอคนรู้จักก็จะถามว่าพ่อ-แม่เป็นอะไร ไม่เคยมีใครนึกว่า พ่อแม่จะพาลูกมาโรงพยาบาล ไม่เคยมีสิ่งไหนเลยที่จะทํ าให้เราท้อถอย หมดกําลังใจจะบอกกับตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่า “ต้องหาย” เราไม่มีทางเลือกอื่น เรากลับรู้สึกว่าเราให้ความสํ าคัญและคุณค่ากับการมีชีวิตอยูม่ ากขึ้นด้วยซํ้ าไป อยากมีชีวิตอยู่เพื่อดูลูกเติบโตขึ้นมา อันนี้คือ ความรู้สึกที่ ทําให้ “วรฑา” จึงต้องเกิดขึ้น ไม่ได้คิดว่าการเปลี่ยนเพื่อเป็นการแก้เคล็ด แต่มันเปลี่ยนจากความรู้สึกที่เราเป็นคนเรียกหาเอง “อภิวัฒน์” เขาเหนื่อยยากมามากแล้ว ให้เขาพักผ่อนเถอะ แล้วให้ “วรฑา” เขามีชีวิตใหม่ “การทุ่มเทเวลาให้กับงานจนลืมให้ความสํ าคัญกับตัวเอง ไม่ใช่การใช้ชีวิตที่ถูกต้อง เพราะเวลาที่เราเจ็บป่วย ก็จะมีแต่คนที่เรารักเท่านั้นคอยดูแล หากเหตุผลของการ ทํ างานหนักคือเพื่อเลี้ยงดูลูกเมีย ในที่สุดแล้วผลที่เกิดขึ้นก็จะมีแต่ลูกเมียเท่านั้นที่ได้รับความทุกข์นี้” “ การจัดสรรชีวิตเป็นเรื่องที่สําคัญ โปรดรู้ไว้ว่า การนอนชดเชยไม่มีจริงในชีวิตนี้ การสูญเสียการนอนไปแล้วชดเชยด้วยการนอนสองเท่าไม่ได้ นาฬิกาชีวิตมันผ่านไปแล้ว ชีวิตในเวลา นั้นๆ มันต้องพัฒนาม้าม มันต้องพัฒนาลําไส้ เราต้องเข้าใจกลไกของชีวิต เข้าใจกลไกของร่างกาย เข้าใจวิธีการที่จะดูแลตัวเองให้อยู่ไปนานๆ ทุ่มเททํ างานได้ แต่อยากจะ ทํ าไปอย่างนี้ได้นานๆไหม ถ้าอยากทํ าควรจะใส่ใจตัวเองให้มากกว่านี้ ”
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย ♥.`๏'-พร ทั้ง หล้า`๏'- ♥ ใน .♥♥ ·° เรื่องเล่าของพอลล่า·° .♥♥